ตลอดทั้งวันปรางค์รวีทำงานอย่างไม่มีสมาธิในการทำงานสักนิดเดียว ในใจของเธอร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก มันรุกรี้รุกรน เหมือนกับว่าจะเกิดเรื่องร้ายครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ความรู้สึกของเธอในวันนี้เป็นห่วงและคิดถึงมารดาเป็นอย่างมาก มากเสียจนต้องโทรไปเช็คกับเพื่อนสนิท
“เกี๊ยะ แม่เป็นยังไงบ้าง” ปรางค์รวีต่อสายถึงภัทราทันที
“แม่เหรอสบายดี ตอนนี้ออกไปซื้อของหน้าปากซอย ฉันจะไปซื้อให้แม่ก็ไม่ยอม บอกว่าจะไปซื้อผักและเนื้อสัตว์มาทำอาหารให้แกกินตอนเย็น แม่บอกว่าฉันเลือกไม่เป็น ฉันจะไปเป็นเพื่อนแม่ก็ไม่ให้ไป เพราะป้าแจ่มจะเอาเสื้อผ้ามาให้รีด ฉันต้องอยู่คอยป้าแจ่ม” ปรางค์รวีรู้นิสัยมารดาดี และรู้ด้วยว่าหากให้ภัทราไปซื้อผักทีไร ได้แต่ผักที่เหี่ยวเฉาไม่น่ารับประทานทุกครั้ง อาจเป็นเพราะภัทราเลือกผักไม่เป็นนั่นเอง สดศรีจึงไปซื้อเองซึ่งเป็นเรื่องปกติ
“แม่ทำถูกแล้วแหละที่ไม่ให้แกไปซื้อ ถ้าแกไปซื้อรับรองได้เลยว่าผักที่ได้มาต้องเน่า เนื้อสัตว์ที่แกซื้อมาให้แต่ละครั้ง เขียวทั้งนั้นเลย”
ปรางค์รวีแซวเพื่อนรักที่ทำหน้างอ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องจริง
“ก็ฉันเลือกไม่เป็นนี่” ภัทราพูดงอนๆ
“ฉันไม่ได้ว่าอะไรแกซะหน่อย อย่าน้อยใจเลยนะคนดีของฉัน ขี้งอนแบบนี้ระวังหาแฟนไม่ได้นะ” ปรางค์รวียังคงเย้าเพื่อนต่อไป
“ใครบอกว่าหาไม่ได้ มีเป็นกระบุง”
“ที่ว่ากระบุงเนี่ย กระบุงเปล่าใช่ไหม”
“มีก็แล้วกัน แกไม่ต้องเป็นห่วงแม่นะ ฉันจะดูแลให้เอง” ภัทราเปลี่ยนเรื่องพูด เธอไม่อยากให้เพื่อนสาวรู้ว่าคนที่เธอแอบรักคือรังสรรค์ ลูกน้องคนสนิทของวิตโตริโอ อีกข้อเธอและเขายังไม่ได้ตกปากรับคำกันเป็นแฟน จึงต้องสงบปากสงบคำเพราะไม่อยากหน้าแตกภายหลัง เขาอยู่ต่างประเทศมีหญิงสาวมากหน้าหลายตา คงไม่สนใจกับผู้หญิงธรรมดาแถมปากมากอย่างเธอ หรืออาจจะไม่มีเธอเพียงคนเดียวก็เป็นได้ รอให้แน่ใจอีกนิดแล้วค่อยเปิดเผยมันก็ยังไม่สาย ช้าๆ แต่ชัวร์
“ขอบใจนะ ฉันอาจกลับดึกหน่อยนะ แค่นี้นะเกี๊ยะ ฉันต้องเข้าห้องประชุมแล้ว” ปรางค์รวีตัดสายทิ้ง และรู้สึกสบายใจขึ้นมากหลังจากที่ได้คุยกับภัทรา ก่อนจะหอบแฟ้มเอกสารเข้าไปในห้องประชุม
ภัทราเดินมาที่หน้าประตูรั้วบ้าน และเดินไปเดินมาอย่างกังวลใจ สดศรีออกไปตลาดที่หน้าปากซอยร่วมสองชั่วโมงแล้ว ยังไม่กลับมา เธอคิดไปในทางที่ดีว่า สดศรีอาจจะแวะคุยกับคนรู้จัก แต่ก็ไม่น่าจะนานเป็นชั่วโมง เพราะซื้อของสดมาด้วย หากไม่รีบนำกลับมาแช่ตู้เย็น เนื้อสัตว์อาจจะมีกลิ่นก็เป็นได้ ที่สำคัญที่สุด สดศรีไปซื้อของในตลาดที่อยู่หน้าปากซอยไม่เคยเกินหนึ่งชั่วโมง รีบไปรีบกลับด้วยซ้ำไป
“ออกไปตามดีกว่า” ภัทราพูดกับตัวเอง คิดว่าอยู่อย่างนี้ความไม่สบายใจคงไม่หาย เธอจึงก้าวเท้าเดินไปยังหน้าปากซอยบ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก เพื่อไปตามหาสดศรี
อีกประมาณยี่สิบเมตรก่อนจะถึงหน้าปากซอย ภัทรามองเห็นคนกลุ่มหนึ่งมุงดูบางอย่าง โดยมีรถของมูลนิธิชื่อดังจอดอยู่ใกล้ๆ ทำให้ภัทราเกิดความอยากรู้อยากเห็น เดินแทรกไทยมุงเข้าดู ดวงตาคมหวานมองดูหน่วยอาสาสมัครกำลังช่วยชีวิตประสบอุบัติเหตุ ซึ่งเธอไม่รู้ว่าเป็นหญิงหรือชาย เพราะร่างสูงใหญ่ของหน่วยอาสาอีกคนบังจนมิด
“ใครเป็นอะไรเหรอคะคุณลุง” ภัทราเอ่ยถามชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างเธอ
“คนโดนรถเชี่ยวน่ะ โดนไม่แรงหรอกนะ แต่ว่าหัวของแกไปกระแทกกับขอบปูนทางเดิน ก็เลยน็อกไม่ได้สติ ไม่รู้จะรอดหรือเปล่า” ชายวัยกลางคนเล่าเหตุการณ์ได้อย่างละเอียด เพราะเขาเห็นเหตุการณ์พอดี
“แย่จังเลยนะคุณลุง โชคร้ายจังแต่ทำไมถึงโดนรถชนได้ล่ะ”
“ก็บนบาทวิถีมันเดินลำบาก หนูไม่เห็นเหรอมีพ่อค้าแม่ค้าขายของกันเต็มตลอดทาง มีทางเดินให้คนเดินนิดเดียว จะเดินแต่ละครั้งต้องเบียดกัน คนที่โดนชนเขาก็เลยลงมาเดินข้างล่างแทนไง เร็วกว่าแต่อันตรายกว่า” ภัทราคิดตามที่ชายวัยกลางคนพูด บนบาทวิถีมีพ่อค้าแม่ค้ามากมายวางของขายอยู่ มีที่เดินประมาณหนึ่งเมตรเท่านั้น เดินสวนกันยังลำบาก หลายคนจึงเดินเลี่ยงไปบนถนน เพราะสะดวกรวดเร็ว หากแต่ความอันตรายก็มากตามไปด้วย
เวลาแห่งการช่วยเหลือสิ้นสุดลง เมื่อผู้เคราะห์ร้ายหมดลมหายใจ แม้ว่าหน่วยอาสาจะพยายามปั้มหัวใจกว่าห้านาทีแล้วก็ตาม ทันทีที่ชายร่างใหญ่ลุกขึ้น ร่างกายของภัทราแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ ปากสั่นมือไม้สั่น ดวงตาคลอด้วยหยาดน้ำตา ถลาไปกอดร่างของผู้เคราะห์ร้ายรายนั้นทันที
“แม่ แม่ แม่เป็นอะไร แม่ตื่นสิ” ภัทราเขย่าร่างหมดลมหายใจของสดศรี ร้องไห้ฟูมฟายหนักขึ้นเมื่อดวงตาของอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะเปิด เช่นเดียวกับหัวใจที่หยุดนิ่ง
“คุณคนนี้เป็นแม่ของคุณเหรอครับ” เจ้าหน้าที่เอ่ยถาม
“ไม่ใช่ค่ะ เป็นแม่ของเพื่อน” เธอตอบทั้งน้ำตา
“ผมเสียใจด้วยนะครับ คุณป้าท่านไปสบายแล้วครับ เราพยายามช่วยเต็มที่แล้วครับ” เจ้าหน้าที่บอกเสียงเรียบ จับร่างของภัทราให้ออกห่างศพของสดศรี ภัทราทำอะไรไม่ถูกเอาแต่นั่งร้องไห้ เธอจะทำยังไงดี จะเริ่มต้นบอกเพื่อนว่าอย่างไรว่า สดศรีได้จากโลกนี้ไปแล้ว จากไปโดยไม่มีวันหวนกลับ ภัทราโทษตัวเองที่เธอไม่ตามสดศรีไปตลาด หากเธอตามไปด้วย สดศรีอาจจะไม่ต้องจบชีวิตเช่นนี้
..............
งานฌาปนกิจศพของสดศรีจัดอย่างเรียบง่าย ภัทราจัดการทุกอย่างแทนปรางค์รวีที่เอาแต่นั่งร้องไห้ บางครั้งก็มีอาการเหม่อลอย เป็นลมหลายครั้งจนไม่สามารถจัดงานศพให้มารดาตัวเองไหว
แล้วไม่ผิดไปจากที่ภัทราคิด ทันทีที่ปรางค์รวีรู้ว่ามารดาเสียชีวิต เพื่อนของเธอรีบเดินทางกลับมาจากชลบุรีทันที โดยมีศาสตราอาสาขับรถมาส่ง และเป็นเจ้าภาพตลอดการสวดอภิธรรมศพ พอเห็นศพสดศรี ปรางค์รวีก็ช็อค หมดสติไปถึงสองวันหนึ่งคืน พอฟื้นขึ้นมาก็เอาแต่ร้องไห้ตาบวม คร่ำครวญถึงมารดาอันเป็นที่รักให้ตื่นขึ้นมา เป็นภาพที่ทำให้ทุกคนหมองเศร้าไปพร้อมกับเธอ
“ปรางค์กินข้าวก่อนนะ ตั้งแต่เมื่อวานแกยังไม่ได้กินข้าวเลย”
ภัทราถือถาดอาหารมาวางตรงหน้าเพื่อนสาว ใบหน้าของปรางค์รวีมีแต่คราบน้ำตา ดวงตาคู่สวยบวมช้ำจากการร้องไห้อย่างหนัก
“ปรางค์จะรอแม่ แม่ไปข้างนอกยังไม่กลับมาเลย” ปรางค์รวีพยายามหลอกตัวเองว่ามารดาไปข้างนอก ทั้งๆ ที่รู้ว่ามารดาจะไม่มีวันกลับมาบ้านหลังนี้อีกแล้ว
ภัทราอดร้องไห้กับภาพที่เห็นไม่ได้ เพื่อนของเธอผ่านความทุกข์มาครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านความเจ็บช้ำระกำใจมามากมาย แต่ทุกครั้งปรางค์รวีสามารถผ่านช่วงเลวร้ายมาได้ เพราะมีมารดาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ หากแต่ตอนนี้ไม่ใช่ ปรางค์รวีไม่มีใครอีกแล้ว คนที่เธอรักจากไปหมด ไม่ว่าจะเป็นวิตโตริโอและสดศรี ภัทราเป็นกังวลและหวาดกลัวว่า ปรางค์รวีจะทนรับสภาพความเสียใจได้หรือไม่ แล้วกลัวมากที่สุดคือ กลัวว่าสติของปรางค์รวีจะเตลิดจนกู่ไม่กลับ
“ปรางค์ แม่ไปสบายแล้วนะ แม่คงนอนตายตาไม่หลับที่เห็นปรางค์เป็นแบบนี้ ฉันรู้ว่าแกเสียใจ แต่แกต้องดูแลตัวเองบ้างนะ แม่จะได้จากไปอย่างสงบ” ภัทราพยายามหาทางปลอบใจเพื่อน แม้จะรู้ว่ามันยากยิ่งที่จะทำใจได้ในเวลาเพียงสองวัน
“ปรางค์เป็นยังไงบ้างเกี๊ยะ” ศาสตราเอ่ยถาม เมื่อภัทราเดินออกมาจากห้องนอนของปรางค์รวี
“เหมือนเดิม เอาแต่ร้องไห้ ข้าวปลาไม่ยอมกิน เกี๊ยะไม่รู้จะทำยังไงแล้วนะคะ เห็นปรางค์เป็นแบบนี้ เกี๊ยะกลัวว่าปรางค์จะตรอมใจตายตามแม่ไปหรือไม่ก็เป็นบ้าเพราะทนรับความเสียใจไม่ไหว” ภัทราพูดอย่างกลัดกลุ้ม ตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งถึงวันนี้ ปรางค์รวีไม่แตะต้องอาหารเลยสักนิดเดียว
“เกี๊ยะกลับไปก่อนก็ได้นะ ผมจะอยู่ดูแลปรางค์เอง” ศาสตรารู้ว่าภัทราเหนื่อยกับการจัดการเรื่องงานศพแทนเพื่อนสาว ส่วนตัวเขาดูแลทางด้านการเงินและเป็นเจ้าภาพ
“เกี๊ยะอยู่ที่นี่ดีกว่าค่ะ เกี๊ยะจะได้ดูแลปรางค์ด้วย บอกตรงๆ ว่าเป็นห่วง ไม่อยากละสายตาเลยค่ะ”
“งั้นผมอยู่ด้วยดีกว่า มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน ผมนอนที่ห้องข้างนอกเอง”
“ตามใจคุณศาสตราเถอะคะ ตอนนี้เกี๊ยะคิดอะไรไม่ออกจริงๆ”
ภัทราเหนื่อยทั้งกายและจิตใจ ทุกข์ใจเป็นอย่างมากที่เห็นเพื่อนเป็นเช่นนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้มากกว่าปลอบโยน
ในขณะที่เธอเดินลงมานั่งอยู่ในห้องรับแขกเสียงโทรศัพท์มือถือของภัทราดังขึ้นหลายครั้ง ก่อนที่เจ้าตัวจะกดรับสาย เสียงเนือยๆ คล้ายกับอ่อนล้าของภัทรา ทำให้บุคคลที่โทรศัพท์มาหาจับความผิดปกติได้
“หวัดดีตา” ภัทราทักปลายสาย
“ทำไมทำเสียงแบบนั้นล่ะ เป็นอะไรหรือเปล่าเกี๊ยะ” กมลเนตรคิดถึงเพื่อนสาวคนสนิททั้งสองคนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เธอโทรศัพท์ไปหาปรางค์รวีหลายสิบครั้ง หากแต่ไม่ประสบความสำเร็จเลยสักครั้ง เธอจึงตัดสินใจโทรศัพท์มาหาภัทราแทน
“ตา แม่ของปรางค์เสียแล้วนะ เสียเมื่อวานนี้เอง ปรางค์ดูแย่มากเลย แย่จนเกี๊ยะใจไม่ดีเลย...ฮือ” ภัทราพูดทั้งน้ำตา กมลเนตรอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นสัจธรรมของชีวิตก็ตาม แล้วรู้ดีว่าปรางค์รวีรักมารดามากแค่ไหน เพราะมีกันอยู่แค่สองคน การจากไปของสดศรีจะต้องสร้างความเสียใจให้กับปรางค์รวีมากมายแน่นอน
“เกี๊ยะทำใจดีๆ ไว้นะ ตอนนี้ปรางค์กำลังอ่อนแอ ถ้าเกี๊ยะอ่อนแออีกคน ปรางค์จะแย่นะ ตาจะกลับเมืองไทยให้เร็วที่สุดเลย แค่นี้นะ ตาจะไปจองตั๋วเครื่องบินก่อน มีอะไรด่วนโทรหาตาได้นะ”
กมลเนตรตัดสายทิ้งทันที ก่อนจะวิ่งออกจากห้องนอนไปที่ห้องรับแขกด้านล่างเพื่อบอกข่าวร้ายของปรางค์รวี โดยไม่รู้ว่า ครอบครัวดิมาร์ชี รู้จักปรางค์รวีทุกคน
“คุณน้าคะ ตาต้องการกลับเมืองไทยด่วนที่สุดเลยค่ะ คุณน้าให้คนของคุณลุงจองตั๋วเครื่องบินให้ตาได้ไหมค่ะ” กมลเนตรมองไม่เห็นใครที่จะช่วยเหลือเธอได้ การจองตั๋วเครื่องบินต้องจองล่วงหน้า เป็นเพราะฤดูนี้เป็นฤดูท่องเที่ยว ชาวอิตาลีเดินทางไปท่องเที่ยวเมืองไทยเป็นจำนวนมาก ตั่วเครื่องบินของสายการบินที่ไปเมืองไทยเต็มหมด มีทางเดียวที่จะได้ตั๋วเครื่องบินแบบเร่งด่วน คือต้องใช้อิทธิพลของคนในตระกูลดิมาร์ชี
“มันเร่งด่วนขนาดนั้นเลยเหรอลูก หน้าตาหนูตาดูไม่ดีเลย เป็นอะไรหรือเปล่า” ทิพย์ธาราเอ่ยถาม
“แม่ของเพื่อนตาเสียเมื่อวานนี้ค่ะ ตาจะไปงานศพของแม่เพื่อนค่ะ ปรางค์กำลังแย่ค่ะ ตาต้องไปหาปรางค์ให้เร็วที่สุด” ชื่อปรางค์สะดุดหูสะดุดใจคนที่ได้รับฟังอย่างเช่นวิตโตริโอ อเล็สซานโดร ทิพย์ธารา เพื่อนของกมลเนตรที่ชื่อปรางค์ มีเพียงคนเดียวเท่านั้น คนๆ นั้นคือปรางค์รวี มีเพียงฟรานซิสโกเท่านั้นที่ไม่รู้จัก
“แม่ของปรางค์เสียเหรอ แล้วปรางค์เป็นยังไงบ้าง” วิตโตริโอเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ
“เห็นเกี๊ยะบอกว่าปรางค์แย่มากเลยค่ะ เกี๊ยะไม่บอกตาก็รู้ว่าปรางค์แย่มากแค่ไหน ปรางค์รักแม่มาก มีกันอยู่สองคนเท่านั้น ยิ่งมาจากแบบกะทันหันแบบนี้ด้วย ปรางค์ก็คงช็อก” กมลเนตรไม่สนใจว่าน้ำเสียงที่วิตโตริโอพูดออกมานั้น ฉายชัดถึงความเป็นห่วงอย่างเปิดเผย สิ่งที่เธอสนใจคือทำอย่างไรจึงจะเดินทางกลับเมืองไทยให้เร็วที่สุด
“ป้าจะให้ลุงเบตโต้จัดการให้นะไม่ต้องห่วง” ทิพย์ธาราเอ่ยบอก “พี่ไปด้วยได้ไหม” วิตโตริโอร้องถามขึ้นมา ทิพย์ธาราตวัดสายตามองลูกชายนิ่ง ทำไมนางจะไม่รู้ว่าลูกชายเป็นห่วงปรางค์รวีมากแค่ไหน หากลูกชายไปพร้อมกับกมลเนตร ปรางค์รวีอาจจะเสียใจมากกว่าเดิมก็เป็นได้“แม่ว่าลูกอย่าไปเลยดีกว่านะ อยู่ที่นี่นะแหละ ไม่ต้องไป” น้ำเสียงของทิพย์ธาราเหมือนกับออกคำสั่ง“คุณแม่ครับ ผมคิดว่าเราวางเรื่องอื่นไว้ก่อนดีกว่าครับ ที่ผมไปผมไปในฐานะของเจ้านายเก่า ตอนนี้ปรางค์เหมือนตัวคนเดียวไม่มีที่พึ่ง อะไรที่เราพอจะช่วยได้เราก็น่าจะช่วย” วิตโตริโอหาช่องทางพูดให้มารดาคล้อยตาม“ทาร่า ผมว่าที่วิโตพูดมาก็ถูกนะ เราไปด้วยคงไม่มีอะไรหรอก” อเล็สซานโดรพูดเสริม“ก็ได้ค่ะ” ทิพย์ธาราจำยอมรับคำ เพราะนางเองก็เป็นห่วงปรางค์รวีเช่นกัน“เอาเป็นว่า พี่กับพ่อและแม่ไปด้วยนะ ไปเครื่องบินส่วนตัวน่าจะสะดวกที่สุด ไปเตรียมตัวได้แล้วน้องตา เราจะออกเดินทางทันทีที่ทุกอย่างพร้อม” กมลเนตรวิ่งขึ้นไปที่ห้องนอนของตัวเองทันทีที่วิตโตริโอพูดจบ เพื่อจัดเตรียมกระเป๋า“ฉันไปด้วยได้ไหม” ฟรานซิสโกพูดขึ้นบ้าง“อยากไปก็ไป” วิตโตริโอตอบ ก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายกันไปเก็บกระเป๋าเดินทางของตัวเอง และเดินทางไปสนามบินในอีกสี่ชั่วโมงต่อมา กว่าที่ทุกคนจะเดินทางถึงเมืองไทยก็เป็นวันสวดอภิธรรมศพสดศรีวันสุดท้ายพอดี
copy right hot novel pub