“น้ำหนาว...”
นีราพรรณ นาราพรรณ คุณกมล และป้าจันต่างก็รีบวิ่งเข้าไปประคองร่างบอบบางที่นอนนิ่งหายใจรวยรินใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดด้วยความเป็นห่วง
“อานีสต์ ไปตามหมอหลวงมา วาอีน์กันคนออกไปก่อนอย่าให้เข้ามามุงเดี๋ยวน้ำหนาวจะขาดอากาศหายใจยิ่งกว่าเดิม อาดิลเจ้าไปตามนายของเจ้ามาด้วย”
เจ้าชายฮารีฟร์ออกคำสั่งกับองครักษ์เอกทั้งสามจากนั้นก็รีบช้อนร่างบางอ่อนปวกเปียกให้นอนลงบนโซฟาหลุยส์ที่ใช้สำหรับรับรองอาคันตุกะจากแดนไกล
องครักษ์ทั้งสามต่างก็รีบเร่งปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับ อาดิลวิ่งออกจากพระราชวังสอดสายตามองหาเจ้าชายหนุ่มที่คิดว่าอาจจะเดินเล่นอยู่รอบๆ บริเวณ
เจ้าชายซารีฟร์เดินออกมาจากสวนพฤกษชาติด้วยใบหน้าหมองเศร้ารู้ว่าอย่างไรแล้วก็ไม่สามารถสลัดนาราภัทรหญิงเดียวที่รักล้นใจออกไปจากชีวิตของตนเองได้ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนใบหน้างามดวงตาเศร้าๆ ของนาราภัทรยังคงวิ่งวนอยู่ในหัวใจแข็งแกร่งตลอดเวลา
“เจ้าชาย...โอ...กระหม่อมดีใจเหลือเกินที่ตามหาพระองค์พบสักที” อาดิลร้องออกมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นเจ้าเหนือหัวของตนเองเดินออกมาจากสวนพฤกษา
“ดีใจทำไมอาดิลเราไม่ได้หายไปไหนแค่เดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ก็เท่านั้นเอง แล้วทำไมต้องทำสีหน้าตื่นตระหนกขนาดนั้นด้วย”
เจ้าชายซารีฟร์เดินเอามือล้วงกระเป๋าสาวเท้าเรื่อยๆ ตรงไปยังพระราชวังโดยไม่รีบเร่ง เขากำลังสร้างกำแพงแห่งความเฉยเมยเพื่อเป็นเกราะป้องกันมิให้หัวใจเจ็บช้ำไปมากกว่าเดิมขณะจะกลับไปเผชิญหน้ากับนาราภัทรอีกครั้ง
องครักษ์อาดิลรีบวิ่งมาดักหน้าเจ้าเหนือหัวก่อนจะเอ่ยตอบรัวเร็วสร้างความตกใจให้กับเจ้าชายซารีฟร์เป็นอย่างมาก
“เจ้าชาย พระชายาเป็นลมอยู่ที่ท้องพระโรง”
เจ้าชายองค์รองแห่งอัลนูรีนไม่ได้รอฟังองครักษ์อาดิลเอ่ยจนจบประโยคแค่ได้ยินว่าพระชายาเป็นลมก็ก้าววิ่งเต็มพลังกำลังตรงดิ่งไปสถานที่ที่จากมา
“น้ำหนาว!”
เจ้าชายซารีฟร์ตะโกนลั่นก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งมาถึงท้องพระโรงและเมื่อเห็นใบหน้างามซีดเผือดนอนหายใจรวยรินอยู่บนโซฟาหลุยส์โดยมีแพทย์หลวงกำลังตรวจอาการอยู่ก็ผลักร่างใหญ่ของนายแพทย์ออกพร้อมกับตวาดลั่น
“หลีกไป”
มือใหญ่ช้อนร่างบอบบางมาไว้ในอ้อมแขนพร้อมกันนั้นก็ประทับจุมพิตลงไปบนพวงแก้มซีดเผือดเรียวปากอิ่มเอิบก่อนจะก็เดินดุ่มๆ ออกจากท้องพระโรงตรงไปยังตำหนักของตนเองโดยไม่สนใจอาการอ้าปากค้างของแขกเหรื่อทูตานุทูตทั้งหลาย
เจ้าชายฮารีฟร์หัวเราะร่วนกับท่าทีเอาแต่ใจของอนุชาองค์รองจากนั้นก็อธิบายให้แขกกิตติมศักดิ์ทุกท่านที่อ้าปากหวอด้วยความงุนงงได้คลายความแปลกใจด้วยการบอกว่าอนุชาของตนนั้นกำลังพาพระชายาเข้าไปพักผ่อนที่ตำหนัก ส่วนพระชายาก็ไม่ได้เป็นอะไรมาแค่เพียงกำลังตั้งครรภ์มีโอรสน้อยๆ ให้กับแผ่นดินทะเลทราย
“เจ้าชาย น้ำหนาวไม่สบายมากหรือเปล่า เจ้าชายถามอาการกับหมอหลวงให้ด้วยผมไม่สันทัดภาษาอังกฤษสักเท่าไร”
คุณกมลตีสีหน้าเป็นกังวลแกมแปลกใจเมื่อเจ้าชายฮารีฟร์ได้เอ่ยบอกทูตานุทูตข้าราชการทั้งหลายเป็นภาษาอาหรับตามด้วยภาษาอังกฤษ หลังจากสิ้นคำพูดของประมุขแห่งอัลนูรีนแล้วบรรดาแขกทั้งชายหญิงก็ต่างยกแก้วแชมเปญชูขึ้นพร้อมกับเอ่ยเป็นภาษาอาหรับรัวเร็วซึ่งท่านฟังไม่ออกแต่แน่ๆ คิดว่าคงเป็นเรื่องดีเพราะแต่ละคนยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันทั้ง 32 ซี่
“ไม่ต้องเป็นกังวลหรอก น้ำหนาวกำลังจะมีโอรสธิดาน้อยๆ น่ารักน่าชังให้กับราชวงศ์อัลนูรีน”
เจ้าชายฮารีฟร์เอ่ยบอกพร้อมกับรับแก้วแชมเปญมาจากองครักษ์แล้วยื่นให้ราชินีที่รักตามด้วยคุณกมลป้าจันที่พากันอ้าปากค้างตกตะลึงก่อนจะพากันหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา
“นี่เราจะเป็นตาคนแล้วหรือ”
คุณกมลเอ่ยออกมาราวกับละเมอยกแชมเปญชูขึ้นสูงก่อนจะจิบเล็กน้อยเพื่อเป็นพิธีเพราะหมอสั่งห้ามให้คนที่เป็นโรคหัวใจอย่างเขางดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด
“ใช่แล้วคุณท่าน จันก็จะได้เป็นคุณยายแล้ว จันไม่อยากจะเชื่อเลย”
ป้าจันยิ้มแป้นเป็นจานกระด้งหน้าบานแฉ่งกว่าใครเพื่อน ดีใจที่มีโอกาสได้เป็นแม่นมเลี้ยงดูคุณหนูที่กำลังจะลืมตาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
“เจ้าชายว่าสองคนนั้นจะปรับความเข้าใจกันได้ไหมคะ” นีราพรรณเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามพระสวามีด้วยความเป็นห่วงในสถานการณ์รักของน้องสาว
“ทำใจให้สบายเถอะน้ำเหนือ ถ้าหากคืนนี้ซารีฟร์ง้อน้ำหนาวไม่สำเร็จเกิดทะเลาะเข้าใจกันผิดอีกหน เรากับองครักษ์เตรียมแผนสำหรับจัดการคนดื้อด้านทั้งสองไว้เรียบร้อยแล้ว ไปกล่าวทักทายราษฎรเถอะชาวอัลนูรีนรอชมความงดงามของเจ้าเป็นเวลานานแล้ว”
เจ้าชายฮารีฟร์กระซิบบอกแนบชิดกับพวงผมนุ่มสลวยจากนั้นก็โอบกอดร่างบางระหงให้เดินเคียงคู่กันออกไปกล่าวทักทายราษฎรผู้จงรักภักดีซึ่งต่างก็เดินทางมารออยู่หน้าพระราชวังเป็นจำนวนมาก
เจ้าชายซารีฟร์วางร่างบางอ่อนระทวยของนาราภัทรลงบนเตียงใหญ่ด้วยอาการทะนุถนอมจากนั้นก็ปลดเปลื้องอาภรณ์รัดตึงออกจากเรือนกายอรชรหอมละมุนแล้วหยิบเสื้อเชิ้ตตัวบางของตนเองมาสวมใส่แทนเสร็จจากการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็หาผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำพร้อมกับเยาะโคโลญสองสามเหยาะมาเช็ดให้ตามใบหน้าที่ยังคงซีดเผือดเรื่อยลงมาถึงลำคอและต้นแขนเนียนทั้งสองข้าง
“น้ำหนาว...ได้ยินเราหรือเปล่า” เจ้าชายหนุ่มจ่อยาดมเข้าใกล้ๆ จมูกโด่งงามพร้อมกับตบเบาๆ ลงไปบนพวงแก้มที่ยังคงซีดเผือด
“น้ำหนาว อย่านอนนิ่งแบบนี้สิ ตอบรับหน่อยรู้ไหมว่าเราใจไม่ดีที่เห็นเจ้านอนเฉยอย่างนี้”
เจ้าชายซารีฟร์กระซิบเรียกอีกครั้งเมื่อไม่ได้ผลนาราภัทรยังคงนอนนิ่งเหมือมเดิมจึงตัดสินใจปลุกคนเป็นลมตามแบบฉบับวิธีของตนเองโดยการกดเคลียริมฝีปากบางเบาใช้ปลายลิ้นนุ่มวาดลูบเลียบนเรียวปากอิ่มก่อนจะเพิ่มน้ำหนักกดจูบเคล้าคลึงหนักหน่วง ฝ่ามือใหญ่ร้อนผ่าวกดนวดเคล้นหนักเบาบนปทุมคู่งามเต็มไม้เต็มมือจนได้ยินเสียงครางแผ่วเบาหลุดออกมาจากเรียวปากสีกุหลาบที่เผยอเปิดปากขึ้นทำให้เขาสามารถสอดลิ้นนุ่มเข้าไปวาดควานหาดูดชิมความหวานฉ่ำได้จากภายในโพรงปาก
“รู้สึกตัวหรือยังน้ำหนาว ตื่นขึ้นมาตอบรับเราบ้างสิ”
ซุ่มเสียงที่งึมงำกระซิบเรียกเริ่มสั่นเทาแหบแห้งตามพลังเพลิงสวาทที่เริ่มลุกฮือขึ้นเป็นกองไฟดวงเล็กๆ รอการปะทุขยายวงกว้างทันทีที่ได้รับการตอบสนองจากหญิงงามในอ้อมแขน
นาราภัทรขยับกายแผ่วเบาเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้าก่อนจะกะพริบตาปริบๆ คิดว่าตนเองอยู่ในความฝันอันแสนหวานฉ่ำแต่เมื่อได้เห็นศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมอ่อนนุ่มที่กำลังกดจูบเคล้าเคลียมอบความวาบหวิวซาบซ่านปลุกอารมณ์รักให้เดือดพล่านทั่วทุกอณูจึงได้ร้องครางกระซิบเรียก
“เจ้าชาย...ปล่อยน้ำหนาวก่อน น้ำหนาวหายใจไม่สะดวก”
“น้ำหนาว เจ้าฟื้นแล้วหรือ” เจ้าชายหนุ่มร้องเสียงสูงด้วยความดีใจผงกหัวขึ้นมองพลางลูบฝ่ามือไปทั่วพวงแก้มทั้งสองที่เริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว
“ดีขึ้นบ้างไหม เราตกใจแทบแย่ตอนที่อาดิลวิ่งไปบอกว่าเจ้าเป็นลมอยู่ในท้องพระโรง”
นาราภัทรเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจกับถ้อยคำที่ได้ยิน ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าชายซารีฟร์จะเป็นห่วงเธอ เพราะเท่าที่สัมผัสมาเธอได้พานพบแค่เพียงความเย็นชาเฉยเมยที่เจ้าชายหนุ่มได้ก่อตั้งเป็นกำแพงสูงกันเธอออกไปจากชีวิตตั้งแต่เธอเดินทางมาเยือนแผ่นดินทะเลทรายแล้ว
“น้ำหนาว ทำไมไม่ตอบเราบ้างอย่านอนนิ่งทำตาปริบๆ แบบนี้สิรู้หรือเปล่าว่าทำให้เราใจไม่ดีไปด้วย”
เจ้าชายซารีฟร์ร้องขอด้วยซุ่มเสียงเป็นกังวลสีหน้าเดือดร้อนกับท่าทีนิ่งเงียบของแก้วตาดวงใจ มือหนาอุ่นจนร้อนลูบไล้นวดหนักเบาทั่วต้นแขนเนียนเพื่อให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวกยิ่งขึ้น
นาราภัทรทอดสายตาจ้องมองบุรุษชาติที่รักยิ่งก่อนตัดสินใจเอ่ยถามในสิ่งที่ยังคงค้างคาตกเป็นตะกอนขุ่นอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
“เจ้าชายรักน้ำหนาวไหมคะ”
“อะไรน่ะ”
จู่ๆ ก็ถูกเอ่ยถามในสิ่งที่ตนเองไม่อยากเอื้อนวาจาออกมาด้วยรู้ดีว่าเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์สำหรับคนถามทำให้เจ้าชายองค์รองแห่งอัลนูรีนถึงกับนิ่งอึ้งเป็นนานกว่าจะเอ่ยพูดออกมาได้
“อยากรู้ไปทำไม เราจำได้ว่าเราเคยบอกเจ้าไปหลายครั้งแล้ว”
“แต่น้ำหนาวอยากได้ยินอีกครั้ง” เป็นสิ่งที่รู้สึกแย่สำหรับการกระซิบร้องขอเว้าวอนให้บุรุษที่รักได้เอื้อนถ้อยคำบอกรักตนเองอีกสักครั้ง
เจ้าชายซารีฟร์ยิ้มเยาะลดใบหน้าลงจนริมฝีปากร้อนผ่าวกดแนบชิดกับเรียวปากสีหวานก่อนจะเอ่ยถามเสียงเย็นราบเรียบ“หมายถึงหัวใจที่เย็นชาของเจ้าหรือเปล่าที่อยากได้ยิน ถ้าใช่!...เราขอไม่ตอบไม่พูดถึงสิ่งนี้อีก”“ทำไมคะเจ้าชาย การเอ่ยบอกรักน้ำหนาวดูยากเกินไปสำหรับคาสโนว่าแห่งทะเลทรายงั้นหรือคะ”“เปล่าเลยน้ำหนาว มันไม่ได้ยากเกินไปสำหรับการเอื้อนวาจาบอกรักหญิงเดียวที่เรามอบใจรักภักดีให้ทั้งหัวใจ แต่มันเป็นการยากสำหรับตัวเจ้าเองต่างหากที่จะเปิดใจยอมมอบความรักให้กับเราบ้าง” เอ่ยถ้อยคำวาจาตัดพ้อต่อว่าพร้อมกับเฆี่ยนเส้นแส้ลงไปบนหัวใจดวงเล็กให้แตกร้าวเลือดไหลซึมเสร็จแล้วก็เดินจากหนีไปโดยไม่สนใจเสียงสะอื้นร่ำไห้ที่หลุดลอดออกมาให้ได้ยิน“เจ้าชายซารีฟร์ ทำไมไม่หยุดฟังน้ำหนาวบอกรักบอกความในใจที่ล้วนแต่ภักดีต่อตัวเจ้าชายบ้าง” นาราภัทรสะอื้นร้องไห้โฮตะโกนตามหลังเจ้าชายที่รักแต่ถ้อยคำของเธอกลับไร้ประโยชน์ล่องลอยจากหายไปกับสายลมละอองเม็ดทรายเพราะเจ้าชายซารีฟร์ได้เดินหนีไปโดยไม่เสียเวลาหยุดฟังแม้แต่วินาทีเดียว...หญิงสาวยันกายลุกขึ้นนั่งเอนพิงพนักหัวเตียงพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาให้เหือดแห้งไปจากใบหน้างามลออที่ยังซีดเผือดไร้สีเลือดจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ใกล้ๆ เตียงนอนมากดโทรหาองครักษ์เอกของเจ้าชายฮารีฟร์แล้วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นดวงตาคู่สวยลุกโชนด้วยดวงไฟแห่งความมาดมั่นระคนรักใคร่ต้องการเอาชนะใจบุรุษชาติอาหรับที่ดื้อด้านไม่แพ้กับตัวเธอ “คุณอานีสต์หรือคะ บอกเจ้าชายฮารีฟร์ด้วยว่าน้ำหนาวพร้อมที่จะเล่นเกมส์ลบลายคาสโนว่ากับเจ้าชายแล้ว”“เจ้าชายซารีฟร์ไม่ฟังพระองค์ใช่ไหมพะยะค่ะ” องครักษ์อานีสต์เอ่ยถามมาตามสาย“ค่ะใช่ เจ้าชายซารีฟร์ไม่ยอมฟังน้ำหนาวเลย เราจะเริ่มแผนเผด็จศึกคาสโนว่าแห่งทะเลทรายในวันพรุ่งนี้เลย”
copy right hot novel pub