บทที่129 เธอก็รู้อยู่แก่ใจ
อวี๋ซือซือฉุดดึงเธอไปที่ด้านข้างและพูกกับหนานฉิงที่ทำท่าทำทางเช่นนั้นว่า “เธอไม่ต้องมาทำท่าทางแบบนี้ใส่เวยเวย ใจเธอคิดอย่างไรเธอเองก็น่าจะรู้ตัวเองดี”
พูดจบอวี๋ซือซือก็ไม่สนใจหนานฉิงซึ่งกระฟัดกระเฟียดอยู่ เธอลากเป้ยฉ่ายเวยให้เดินไปและไม่หันกลับมามองผู้หญิงเจ้าเล่ห์ที่เบื้องหลังอีกเลย
ตบตีคนไปแล้ว ยังจะทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังมีหน้ามาจับมือพูดคำหวานราวกับว่าไม่มีอะไร โลกสวยไปหน่อยนะ
หนานฉิงมองดูเงาหลังของทั้งคู่หายลับไป ความโกรธในแววตาแทบอยากจะเผาไหม้พวกหล่อนให้กลายเป็นเถ้าถ่าน อวี๋ซือซือสมควรตาย หล่อนจะโผล่มาทำเธอเสียเรื่องทำไม
และยังมีนังเป้ยฉ่ายเวยอีก บอกกับเธอว่าจะไม่แย่งอาเจ๋อไปแล้วตอนนี้เป็นอย่างไร
ดอกทอง ผู้หญิงเลวด้วยกันทั้งคู่ เธอจะไม่ปล่อยพวกหล่อนสองคนไปแน่ ไม่มีวัน
เมื่อออกจากห้องทำงานเป้ยฉ่ายเวยก็กระซิบ “ซือซือ เธอทำเกินไปรึเปล่า เธอจะไปสัมภาษณ์ฉูเจ๋อหยางเธอก็ไปคนเดียวสิ ลากฉันไปด้วยมันจะไม่ดี”
“แล้วมันเกี่ยวอะไร ฉันเห็นนะว่าตอนกลางวันเธอทานข้าวไปแค่นิดเดียว” อวี๋ซือซือพูดหน้าตาเฉย
เป้ยฉ่ายเวยอึ้งไป “เธอรู้อยู่แล้วหรอว่าฉูเจ๋อหยางยังไม่ได้ทานข้าว”
“ก็ไม่เชิง ฉันเดาเอา เร็วเข้าเถอะ ฉูเจ๋อหยางไม่ใช่คนที่มีความอดทนมากนัก” แน่นอนว่าเธอบอกไม่ได้ว่าตัวเองมีสายสืบอยู่
ฉูเจ๋อหยางขับรถพาพวกเธอทั้งคู่ไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง มีคนสั่งอาหารชั้นดีเตรียมไว้รอพวกเขาเรียบร้อยแล้ว
ถังฉีตงกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม “มาช้านะ ผมสั่งอาหารไว้หมดแล้ว นั่งด้วยกันสิ”
“ถามผู้หญิงของคุณสิ” ฉูเจ๋อหยางพูดขึ้นอย่างเมินเฉย
“เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ของผม คุณไปทำเรื่องอะไรอีกล่ะ ไหนมาเล่าให้ผมฟังหน่อย” ถังฉีตงยื่นมือออกไปคิดที่จะโอบอวี๋ซือซือ
อวี๋ซือซือหลบอย่างคล่องแคล่วและค้อนไปทีหนึ่ง และเธอก็พาเป้ยฉ่ายเวยไปนั่ง
ถังฉีตงยิ้มอย่างไม่แคร์และนั่งตามลงไป
เป้ยฉ่ายเวยเห็นอาหารเต็มโต๊ะ เป้ยฉ่ายเวยถึงได้รู้ว่าที่ฉูเจ๋อหยางไม่ทานอะไรเพราะว่านัดกับถังฉีตงเอาไว้แล้ว แต่ว่าพวกเขาสองคนสั่งอาหารสิ้นเปลืองเกินไปรึเปล่า ถ้าหากว่าเธอกับซือซือไม่ได้มา จะทานหมดได้อย่างไร
สี่คนก็ไม่แน่ว่าจะทานเข้าไปหมด
ที่โต๊ะอาหาร เป้ยฉ่ายเวยนั่งถัดจากฉูเจ๋อหยาง นั่นทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยสะดวกใจ เธอนึกถึงเรื่องเมื่อวาน สายตาเธอก็ล่อกแล่กไปมา ไม่กล้าทีจะสบตาผู้ชายข้างๆ ทานข้าวก็ทานอย่างกระมิดกระเมี้ยน
อวี๋ซือซือไม่เกรงใจการบริการจากถังฉีตง ระหว่างนั้นเธอก็สังเกตเพื่อน “เวยเวย เธอไม่ได้ทานอะไรที่โรงอาหารเลย เธออิ่มทิพย์หรืออย่างไร”
เป้ยฉ่ายเวยสังเกตเห็นชายด้านข้างหยุดมือ เธอรู้สึกกังวลใจ เธอไม่ต้องการที่จะดึงดูดความสนใจจากเขา แต่ซือซือตั้งใจทำให้มันเกิดขึ้น
เธอได้แต่พูดขึ้นอย่างเสียไม่ได้ “ฉันไม่หิวเท่าไหร่”
“อย่างนั้นก็ได้ ผอมหน่อยก็ดี อย่าคีบเนื้อให้ฉันมากเกินไป” อวี๋ซือซือตะคอกไปทางผู้ชายข้างๆอย่างไม่พอใจ
ถังฉีตงพูดอย่างเรียบๆ “ไม่เป็นไร ผมชอบอวบๆ ผอมแล้วเดี๋ยวลมพัดปลิว”
“...” เป้ยฉ่ายเวยอยากร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา เธอไม่ได้ผอมขนาดลมพัดแล้วปลิวสักหน่อย
ทันใดนั้นก็มีบางสิ่งถูกเพิ่มลงที่ชามของเธอ
เสียงเย็นชาของชายคนนั้นออกคำสั่ง “ทาน”
หมูนึ่ง นั่นเป็นอาหารจานโปรดของเธอ
เป้ยฉ่ายเวยประท้วงเสียงเบาๆ “ฉันไม่ผอม”
แม้ว่าท้องของเธอยังคงว่างอยู่ แต่ว่าเธอไม่รู้สึกอยากรับประทานอาหาร
ฉูเจ๋อหยางพูดเสียงไม่เบาไม่ดัง “กระดูกแข็ง”
เป้ยฉ่ายเวยไม่เข้าใจความหมายของฉูเจ๋อหยาง แต่เมื่อเธอคิดถึงมันครู่หนึ่ง ใบหน้าเธอก็แดงขึ้น ไอ้บ้า เขาตั้งใจจะว่าเธอเป็นคนหัวแข็ง
“ก็ยังดีกว่าคุณ แข็งยิ่งกว่าหิน” เป้ยฉ่ายเวยไม่กล้าพูดเสียงดัง เธอเสียงเบาจนแทบจะเหมือนกำลังบ่น ปากแทบจะไม่ขยับ
แต่ว่าเธอไม่รู้ว่าหูของผู้ชายข้างกายนั้นไวแค่ไหน
เสียงอันรื่นหูของชายคนนั้นตอบกลับมา “คุณพูดอย่างนั้นผมถือว่าเป็นคำชม”
เป้ยฉ่ายเวยรู้สึกว่าตัวเองหูแดง อยากตาย ผู้ชายคนนี้หูไวเป็นบ้า เธอพูดอะไรก็ได้ยินไปหมด
อวี๋ซือซือได้ยินไม่ชัดว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน แต่เมื่อเธอเห็นเป้ยฉ่ายเวยหน้าแดง เธอเลยพูดติดตลก “เวยเวย เธอทำอะไรน่ะ หน้าแดงขนาดนี้”
“ไม่มีอะไร กับข้าวมันร้อน ก็เรื่องปกติไม่ใช่หรอ” เป้ยฉ่ายเวยแสร้งทำเป็นสงบนิ่งและหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารในชามแก้เขิน
“ฉันคิดว่าเธอไม่หิวเสียอีก ดูเหมือนว่าจะมีคนร้ายกาจกว่าฉันอีกนะ” อวี๋ซือซือพูดจาแหย่เธอ
เมื่อเป้ยฉ่ายเวยถูกพูดเช่นนี้ใส่ จะทานก็โดน ไม่ทานก็โดน
“ถ้าหากว่าคุณยังอยากที่จะสัมภาษณ์” ฉูเจ๋อหยางพูดประโยคนี้กับอวี๋ซือซือ แต่ด้านท้ายของประโยคกลับละเอาไว้
อวี๋ซือซือยักไหล่พลางพูดว่า “ได้ ฉันจะไม่พูดแล้ว”
ไหนเขาบอกว่าไม่สนใจ แต่แค่แหย่เวยเวยประโยคเดียวเท่านั้น ก็ทำท่าทางไม่พอใจแล้ว
ถังฉีตงเอนกายกับเก้าอี้และพูด “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ทำไมคุณถึงอยากจะสัมภาษณ์อาเจ๋อล่ะ สัมภาษณ์ผมไม่ง่ายกว่าหรอ”
“สัมภาษณ์คุณ ก็ไม่ได้เงินน่ะสิ” อวี๋ซือซือโกหก ที่จริงโบนัสจากการสัมภาษณ์ถังฉีตงก็ไม่ได้น้อยไปกว่าฉูเจ๋อหยาง แต่ว่าฉูเจ๋อหยางนั้นจัดการยากกว่า เพราะว่าเขาชอบทำตัวลึกลับ
คนนอกบอกว่าเขาไปมาเหมือนกับสายลม แต่ทำไมเธอกลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยสักนิด เธอรู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นหญ้าที่ติดหางสุนัข เธอจะไปที่ไหนก็เกาะหนึบไปทุกที่
ถังฉีตงพูดช้าๆชัดๆ “จริงหรอ ผมได้รับคำเชิญจากนิตยสารหลายฉบับ และยังหนังสือพิมพ์บันเทิงอีก หนึ่งในนั้นก็มีเฉินซีของคุณด้วยนะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เพราะพวกเขาไม่มีวิสัยทัศน์” อวี๋ซือซือเห็นถังฉีตงท่าทางชิวๆ เธอจึงตั้งใจยั่วโมโหเขา
ถังฉีตงไม่ได้โมโห สายตาคู่นั้นกลับจ้องมองไปที่เธอ “ถ้าอย่างนั้นคุณจะสัมภาษณ์อะไรอาเจ๋อล่ะ”
อวี๋ซือซือถูกมองหัวจรดเท้า เธอหันไปเหลือบมองเป้ยฉ่ายเวยและพูดกับผู้ชายผู้คุมกฏระเบียบคนนั้นว่า “ทนายฉูคะ จะสัมภาษณ์ได้เมื่อไหร่ดีคะ”
เธอต้องการจะเริ่มแล้วเป้ยฉ่ายเวยยังคงจ้องฉูเจ๋อหยาง เธออยากรู้ว่าซือซือจะสัมภาษณ์อะไรเขาฉูเจ๋อหยางนั่งจิบชาและพูดอย่างเนิบๆ “คุณถามเวยเวยได้เลย”อวี๋ซือซือมองเป้ยฉ่ายเวยแวบหนึ่งและเลิกคิ้วขึ้นถามว่า “ถามหล่อนรึ ฉันจะสัมภาษณ์คุณจะให้ไปถามหล่อนทำไม”เป้ยฉ่ายเวยก็พยักหน้าเช่นกัน ถามเธอจะมีประโยชน์อะไร เธอไม่ใช่เขา จะตอบได้อย่างไรฉูเจ๋อหยางเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองที่เป้ยฉ่ายเวย จากนั้นก็พูดเบาๆ “เรื่องของผมคุณรู้ดีที่สุดไม่ใช่รึ”“ก็ ก็ไม่ได้รู้หมดทุกเรื่อง” เป้ยฉ่ายเวยหัวใจเต้นไม่เป็นท่า เธอตอบอย่างติดอ่างฉูเจ๋อหยางนี่หมายความว่าอย่างไร เธอไม่ได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนเขานะอวี๋ซือซืออมยิ้ม “เวยเวย ดูเหมือนฉันจะต้องสัมภาษณ์เธอแทนแล้วล่ะ”“ซือซือ ฉันไม่รู้อะไรเลย เธอถามเขาเองดีกว่านะ” เป้ยฉ่ายเวยเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง หัวใจที่สั่นเทาๆก็ค่อยๆสงบลงที่จริงนอกจากสี่ปีนี้ เธอไม่รู้เรื่องอะไรของฉูเจ๋อหยางเลย เธอไม่เคยรู้เลยว่าพ่อแม่เขาอยู่ที่ไหน ไม่รู้เลยว่าเขามีพี่น้องหรือไม่ ยิ่งไม่รู้เลยว่าคำพูดเขาหมายถึงอะไรบรรยากาศเริ่มอึดอัดเล็กน้อย อวี๋ซือซือไม่รู้ว่าทำไมเป้ยฉ่ายเวยถึงต้องโมโห ใบหน้าของชายอีกคนก็ดูเหมือนจะหดหู่ลงเล็กน้อย
copy right hot novel pub