บทที่135 ครั้งแรกที่พบพ่อ
“ทนายฉูยุ่งหัวหมุนอยู่อีก ทุกคนไปทานข้าวกันหมดแล้ว แต่คุณยังอยู่ในออฟฟิต”
อวี๋ซือซือหยากเขาพร้อมกับจูงรุ่ยรุ่ยเข้ามา
ฉูเจ๋อหยางไม่ได้ใส่ใจคำพูดของอวี๋ซือซือ ดวงตาคมลึกเหลือบมองไปที่เจ้าขนมปังน้อยที่ตามมา เสียงเขาแหบจนคนฟังแทบจะไม่ได้ยิน
“เธอมีลูกกับถังฉีตงตัวโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ฮ่า ทนายฉูชอบพูดตลกจริงนะ ถ้าฉันมีลูกโตขนาดนี้แล้วคงจะฝันดีแน่นอน นี่เป็นลูกของญาติฉันชื่อปู้ติง”
อวี๋ซือซือพูดและหันไปทางรุ่ยรุ่ย “มาสิ ปู้ติงนี่คือลุงฉู ถึงจะหน้าตาดุไปหน่อย ความจริงแล้วก็ดุจริงๆน่ะแหละ แต่เธอไม่ต้องกลัว ลุงฉูเขาไม่กินเด็กๆ”
หากฉูเจ๋อหยางรู้ว่ารุ่ยรุ่ยเป็นลูกของเขาเอง การแสดงออกบนใบหน้าก็คงเป็นปรกติเช่นนี้ล่ะ แค่เธอคิด เธอก็รู้สึกมืดมนมากแล้ว
“ลุงฉู” เสียงรุ่ยรุ่ยดังขึ้นพร้อมกับพยายามระงับความตื่นเต้นของตัวเอง สายตาของเขาตรวจสอบฉูเจ๋อหยางอย่างฉับไวโดยปราศจากความลังเล
พ่อดูสูงใหญ่กว่าในทีวี แต่การแสดงออกนั้นไม่ใช่แค่เย็นชาธรรมดา เหมือนกับที่หนังสือพิมพ์เขียนเอาไว้ไม่ผิด
เมื่อนึกถึงว่าเขาทิ้งภรรยาและลูกของเขา ดวงตาเล็กๆก็ขุ่นเคืองขึ้นทันที
ดวงตาคมลึกของฉูเจ๋อหยาง เขาไม่เคยเห็นเด็กคนนี้มาก่อน แต่ความโกรธในดวงตาของเด็กนั่นกลับดูเป็นเรื่องเป็นราว แม้ว่ามันจะถูกซ่อนอย่างรวดเร็วแต่ยังไงก็ยังเป็นเด็ก แต่เด็กสามารถเก็บกดอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันไม่ง่ายเลย
“ปู้ติง”
เมื่อได้ยินพ่อเรียกชื่อตัวเองออกมา หูของรุ่ยรุ่ยก็แดงขึ้นเล็กน้อย เขาตอบรับเบาๆ “อื้อ”
“พ่อแม่ของหนูเป็นญาติกับเธอ” ฉูเจ๋อหย่างชี้นิ่งไปที่อวี๋ซือซือ
รุ่ยรุ่ยพยักหน้า “ใช่”
"ทนายฉูนี่หมายความว่าอย่างไร ทำอย่างกับฉันเป็นโจรลักพาตัว" สายตาของฉูเจ๋อหยางหลักแหลมมาก อวี๋ซือซือจงใจยืนบังรุ่ยรุ่ยเอาไว้ ไม่ให้เขาได้ทำการสำรวจต่อไป
“ผมจำไม่เห็นได้ว่าลูกญาติของคุณโตขนาดนี้แล้ว" ตระกูลอวี๋เป็นครอบครัวใหญ่ในเมืองจิ่นอัน มีหลายต่อหลายคนที่เป็นนักข่าวบันเทิงที่มีชื่อเสียง ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้จักเด็กคนนี้
ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อมองหน้าเด็กคนนี้ เขารู้สึกคุ้นเคยใกล้ชิด ความรู้สึกนี้แปลกมากสำหรับเขา แต่เขาก็หาเหตุผลไม่ได้
"ญาติห่างๆไม่ได้หรือไง" อวี๋ซือซือไม่คิดว่าฉูเจ๋อหยางจะเรื่องเยอะขนาดนี้ แค่พาเด็กมาจำเป็นต้องซักละเอียดขนาดนี้ด้วยรึ
คำนวณเวลาแล้ว หากเขาและเป้ยฉ่ายเวยมีลูกด้วยกัน ก็น่าจะโตประมาณนี้ล่ะ
ฉูเจ๋อหยางตกใจกับความคิดในใจของตนเอง ดวงตาของเขามืดมิด เขามองผ่านอวี๋ซือซือไปที่รุ่ยรุ่ยและถาม "ปู้ติง ปีนี้หนูอายุเท่าไหร่แล้ว"
สายตาอันลึกลับของฉูเจ๋อหยางทำให้ซือซือรู้สึกประหม่า แย่แล้ว ผู้ขายคนนี้แค่คิดก็รู้ถึงตัวตนของรุ่ยรุ่ยแล้วหรือนี่ ทำอย่างไรดี ถ้าหากว่าเวยเวยรู้ว่าเธอพารุ่ยรุ่ยมาเจอฉูเจ๋อหยางล่ะก็ หล่อนต้องโกรธเธอตายแน่
เธอมั่นใจในตัวเองมากไปรึเปล่า
อวี๋ซือซือเริ่มตื่นตระหนก รุ่ยรุ่ยเครียดอย่างเห็นได้ชัด เขามือขวากำนิ้วโป้งข้างซ้ายและพูดด้วยท่าทีจริงจัง "ผมห้าขวบแล้วครับ"
ห้าขวบรึ ถ้าหากเป็นลูกของเขาและเป้ยฉ่ายเวย ตอนนี้น่าจะยังไม่ถึงสามขวบ ดูแล้วเขาน่าจะคิดมากไป ฉูเจ๋อหยางรวบสายตากลับมา ไม่มองที่เขาอีก เขาถามด้วยเสียงอันไม่แยแส "อวี๋ซือซือคุณต้องการสัมภาษณ์อะไร ถามมาตรงๆ"
"ไม่ได้รีบร้อนอะไร คุณทานข้าวก่อนเถอะ" ซือซือเห็นว่ารุ่ยรุ่ยทำให้เขาสับสน เธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ยังดีที่เขาสงบลงได้เพราะว่าเขาคิดว่าลูกน่าจะเพิ่งสามขวบ
โชคดีที่ฉูเจ๋อหยางไม่ได้ถามอะไรต่อไปอีก
"ไม่จำเป็น" ฉูเจ๋อหยางปฏิเสธความหวังดีของเธอ
"คุณไม่ทานแต่ปู้ติงน้อยของฉันยังไม่ได้ทานอะไร ใช่ไหม" อวี๋ซือซือผลักรุ่ยรุ่ยออกมา
ฉูเจ๋อหยางจ้องที่หนูน้อยแว่นกันแดดอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมเขาทนใจแข็งไม่ไหว ก็แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น
นิ้วมือเขากดไปที่เบอร์โทรศัพท์ สั่งให้สั่งข้าวจากข้างนอกเข้ามาสามชุด
"ปู้ติงน้อยของเราชอบทานของหวาน" อวี๋ซือซือไม่ลืมที่จะเสริมอีกประโยค เธอเจตนาดี ปกติผู้ชายไม่ชอบทานของหวาน ฉูเจ๋อหยางคงจะไม่สงสัยหรอกมั้ง
แต่ว่าเรื่องยี้ยิ่งดึงดูดความสนใจของฉูเจ๋อหยาง "ชอบทานของหวาน"
"ไม่ชอบ" รุ่ยรุ่ยหน้าแดงขึ้นมา เขาปฏิเสธที่จะบอกจุดอ่อนของตัวเองให้คนอื่นรู้ ยิ่งอยู่ต่อหน้าฉูเจ๋อหยางด้วยแล้ว มีแต่คนบอกว่าผู้ชายที่ชอบทานขนมหวานมีไม่มากนัก
ฉูเจ๋อหยางพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ เขาไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แววตาคมลึกจนน่ากลัว
อวี๋ซือซือก็รู้สึกกว่าตัวเองพูดพลาดไปแล้ว เวยเวยก็ไม่ชอบทานขนมหวาน รุ่ยรุ่ยชอบทานขนมหวาน ต้องได้มาจากฉูเจ๋อหยางแน่ๆ
ครั้งก่อนดูเหมือนว่าเธอจะคาดเดา ไม่ได้คิดผ่านสมองเท่าใด
"ฉูเจ๋อหยางคุณช่วยฉันดูปู้ติงหน่อย ฉันจะไปซื้อขนมเค้ก" เธอหาเหตุผลที่จะปลีกตัว ให้พ่อกับลูกได้มีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง
เมื่อออกจากห้องทำงาน อวี๋ซือซือกำลังจะถอนหายใจโล่งอก เธอกลับบังเอิญพบกับเป้ยฉ่ายเวยซึ่งเพิ่งขึ้นมาจากชั้นล่าง
"ซือซือเธอมาที่นี่ได้อย่างไร" เป้ยฉ่ายเวยมองที่ด้านหลังซือก็ไม่เห็นคนตัวเล็ก ทันใดเธอก็นึกขึ้นได้ว่าที่นี่คือที่ไหนจึงถามด้วยเสียงเข้ม "ปู้ติงล่ะ"
เมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยงด้านนอกเธอมักจะเรียกชื่อเต็มของรุ่ยรุ่ย
“อ๋อ ฉันยังสัมภาษณ์ฉูเจ๋อหยางไม่เสร็จน่ะ ดังนั้นก็เลยลองเสี่ยงโชคดู ไม่คิดว่าเขาจะอยู่จริงๆ ฮ่า" ใจอวี๋ซือซือทันใดนั้นก็รู้สึกอยากตาย ทำไมเวยเวยถึงต้องบังเอิญขึ้นมาตอนนี้พอดีด้วยนะ"เธอปล่อยให้ปู้ติงอยู่บ้านคนเดียวอย่างนั้นหรอ" นี่คือคำอธิษฐานสุดท้ายของเวยเวย รุ่ยรุ่ยเป็นเด็กดีว่าง่าย บางทีที่เธอจำเป็นต้องออกไปธุระ เขาก็เชื่อฟังอยู่บ้านคนเดียวเองได้ ไม่ได้ก่อเรื่องเมื่อเธอเห็นอวี๋ซือซือทำท่าทางรู้สึกผิด ใจเธอก็แอบหวั่นไหว "พี่เวยเวยเป็นอะไร มีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ" หวางเหมิงทางด้านข้าง มองกลับไปกลับมาระหว่างเป้ยฉ่ายเวยและอวี๋ซือซือ เธอหงุดหงิดที่ไม่รู้ว่าควรทำตัวเช่นไร ยิ่งตอนนี้เห็นพวกเขาทั้งสองคนมีท่าทีเลิ่กลั่กอาจจะมีความลับที่ไม่สามารถบอกใครได้เป้ยฉ่ายเวยเกือบจะลืมว่าหวางหมิงยังอยู่ด้วย เธอขมวดคิ้วและพูด "หวางหมิง พี่ไม่เป็นไร พี่มีเรื่องอยากคุยกับอวี๋ซือซือตามลำพัง เธอไปทำอะไรก่อนเถอะ" พูดจบเธอก็ดึงตัวอวี๋ซือซือเข้าไปในห้องพักผ่อนหวางหมิงเห็นท่าทีกระตือรือร้นของเป้ยฉ่ายเวยเธอก็คิดอยากจะตามไป แต่ว่าประตูห้องพักผ่อนนั้นเป็นกระจกใส หากเดินไปใกล้จะจะถูกจับได้ เธอจึงได้แต่เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองอย่างไม่เต็มใจนักเฮ้อ เป้ยฉ่ายเวยเป็นคนเจ้าเล่ห์จริงๆ เธอเห็นหล่อนเป็นเพื่อน ทำไมจู่ๆก็ทำตัวลับๆล่อๆกับเธอเป้ยฉ่ายเวยกลับมาถึงเร็วในห้องพักผ่อนจึงมีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น แต่เธอก็ยังไม่กล้าวางใจจึงลดเสียงลงตอนคุยกับซือซือ "ซือซือเธอยอกฉันมา ตอนนี้รุ่ยรุ่ยอยู่ที่ไหน"
copy right hot novel pub