ตอนที่ 88 กินข้าวที่โรงอาหาร
เป้ยฉายเวยมองโต๊ะทำงานตรงหน้าอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เห็นทีเธอคงต้องทำงานอยู่ในสายตาของฉูเจ๋อหยางจริงๆซะแล้ว
หวังว่าฉูเจ๋อหยางจะโผล่มาแวบๆเหมือนที่หลินไห่พูดนะ ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างสงบก็พอ
ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้เธอถูกกลุ่มคนมารุมดูเหมือนลิงก็ไม่ปาน เธอรู้สึกว่าตัวเองยิ้มจนหน้าแข็งหมดแล้ว โชคดีที่ใกล้ถึงเวลาพักแล้ว
เธอนัดเจอกับซือซือที่โรงอาหารของพนักงาน
"เวยเวย ใกล้ถึงเวลากินข้าวเที่ยงแล้วนะ จะไปโรงอาหารด้วยกันไหม" หลินไห่เดินยิ้มหวานมาถาม
เป้ยฉายเวยปฏิเสธอ้อมๆ "ไม่เป็นไรค่ะพี่ไห่ ฉันนัดกับเพื่อนไว้แล้ว"
" เพื่อน? เวยเวยทำไมมีเพื่อนใหม่เร็วจัง" แค่ช่วงเวลาตอนเช้ามีคนมาพยายามตีสนิทกับเธอแล้วหรือ เขาต้องการเห็นไอ้คนชั่วนั่น
" ไม่ใช่ค่ะ เป็นเพื่อนที่ทำงานอยู่บริษัทนิตยาสารชั้นบนค่ะ" เป้ยฉายเวยมองหลินไห่แบบไม่เข้าใจ ทำไมเธอรู้สึกว่าน้ำเสียงของพี่ไห่ดูเหมือนโกรธ
"อ๋อๆ อย่างนี้นี่เอง งั้นเจอกันตอนบ่ายนะ วันนี้ทุกคนค่อนข้างยุ่ง หลังเวลาพักเที่ยงฉันจะพาเธอไปรู้จักกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ" หลินไห่มองเป้ยฉายเวยที่ออกปากมาขนาดนี้แล้ว ก็ไม่อยากตามไปอีก
"ค่ะ ได้ค่ะ" เป้ยฉายเวยพยักหน้า
หลินไห่ถูกคนอื่นลากตัวไปแล้ว
เป้ยฉายเวยเก็บของบนโต๊ะแล้วขึ้นลิฟท์ไปโรงอาหารชั้นสอง ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไหน โรงอาหารของพนักงานล้วนอยู่ชั้นสองทั้งสิ้น
เพื่อสะดวกในการติดต่อสื่อสารและเพื่อให้เน็ตเสถียร ทุกคนจะมีอินเทอร์เน็ตของตัวเอง ทุกคนสามารถใช้คอมพิวเตอร์ลงทะเบียนในระบบได้คนละบัญชี และสามารถเปลี่ยนชื่อได้ตามใจชอบ
โดยภาพรวมแล้วค่อนข้างจะทันสมัยเลยทีเดียว
โดยเฉพาะกลุ่มชายหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานจะดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
วัฏจักรของสิ่งมีชีวิตล้วนเป็นเช่นนี้ ต้องขยายพันธุ์ก่อน ถึงมีชีวิตอยู่ได้
บนคอของอวี๋ซือซือมีป้ายชื่อห้อยอยู่ เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปนเบื่อหน่าย "เวยเวย เธอช้าจัง"
"มาแล้วๆ" เป้ยฉายเวยยิ้มแล้วเดินมา
สาวสวยคนละแบบสองคนเดินอยู่ด้วยกัน ดึงดูดสายตาของใครหลายคนเป็นอย่างมาก มีทั้งสายตาตกตะลึง อิจฉา มองดู มีคำถามและสายตาอยากรู้อยากลองปะปนอยู่ด้วยกัน
เป้ยฉายเวยรู้สึกไม่ชินเป็นที่สุด
"เฮอะ นี่ฉันเข้ามาในสวนสัตว์หรือนี่ หรือพวกเราเป็นสัตว์เลี้ยงเอาไว้โชว์ มองอะไรนักหนา" อวี๋ซือซือพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบาไปในโรงอาหาร พริบตาเดียวเสียงทั้งหมดก็เงียบไป
แล้วมองพวกเธอตรงๆเหมือนเห็นสัตว์สายพันธุ์ใหม่อย่างนั้น
"ซือซือช่างเถอะ พวกเราเพิ่งมาคนอื่นยังไม่เคยเห็นเป็นเรื่องปกติ นานๆไปเดี๋ยวก็ชินเองแหล่ะ" เป้ยฉายเวยพยายามไกล่เกลี่ยและดึงชายเสื้ออวี๋ซือซือ
อวี๋ซือซือถอนหายใจฟึดฟัด แล้วลากเป้ยฉายเวยไปต่อแถวสั่งอาหาร
การปฏิบัติต่อสาวสวยไม่เหมือนกัน คุณลุงร้านข้าวมือไม้หยุดสั่น และดูกระฉับกระเฉงขค้นมาทันที ตักข้าวให้พวกเธอสองคนเต็มจาน
"ขอบคุณค่ะลุง" อวี๋ซือซือกล่าวขอบคุณสำหรับความใจดี
"พวกหนูผอมเกินไปแล้ว กินเยอะๆหน่อย" คุณลุงพูดไปหน้าแดงไป
เป้ยฉายเวยก็ก้มหัวขอบคุณอย่างมีมารยาท
คนอยู่ด้านหลังก็เริ่มบ่นอุบอิบ
"คุณลุงลำเอียงไปรึเปล่าเนี่ย ทำไมของพวกเธอได้เยอะ ของพวกเราได้น้อยล่ะ"
"ใช่ๆ พวกเราก็อยากได้เยอะๆเหมือนกันนี่"
"ลุงจะดูแลเป็นพิเศษเพราะเป็นสาวสวยไม่ได้นะ"
คุณลุงพูดกลับด้วยเสียงโมโห" ถ้าพวกแกสวย ฉันก็จะดูแลดีเป็นพิเศษ มีปัญหาอะไร"
ผู้ชายที่ถูกตวาดไปไม่พูดอะไร เขาจะไม่มีวันเป็นผู้ชายมาดแมนได้อีก
คนต่อแถวต่างหัวเราไปตามๆกัน
คุณลุงเริ่มตักอาหารด้วยอาการสั่นเหมือนโรคพาร์กินสันต่อ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
"แบบนี้จะไม่มีปัญหาแน่นะ" เป้ยฉายเวยหมายถึงคุณลุงที่พูดตรงไปตรงมาจะไม่โดนใครร้องเรียนหรอ
"วางใจได้ ตอนมาฉันได้ยินหมดแล้ว อย่าคิดว่าแกเป็นลุงขายข้าวธรรมดานะ โรงอาหารนี้แกเป็นคนเหมา และยังดูสนิทสนมกับเจ้าของตึกด้วยนะ เพราะฉะนั้นพวกนี้แค่บ่นได้ไม่กี่คำหรอก"
อวี๋ซือซือลากเป้ยฉายเวยไปนั่งตรงมุมหนึ่ง แล้วก็มองสถานการณ์รอบๆไปด้วย
" ซือซือ ฉันสงสัยแต่แรกอยู่แล้วว่าเธอไม่ได้มาทำงาน แต่มาคอยสอดแนมใช่ไหม" เป้ยฉายเวยไม่เข้าใจที่อวี๋ซือซือเพิ่งจะมาเอาครึ่งวัน ทำไมอะไรๆก็รู้ดีไปหมด
"เธอเนี่ย ไม่มีสมองแล้วยังไม่ยอมรับอีกนะ"
อวี๋ซือซือมองเธอด้วยสายตาเมินเฉย แล้วพูดต่อ "เธอคิดว่างานฉันว่างขนาดนั้นเลยหรอ เธอต้องทำความเข้าใจอะไรสักหน่อย นี่คือโรงอาหารของพนักงานทั่วไป เธอดูทางนั้น ขึ้นบันไดไป ระดับการบริการก็จะต่างกัน
เป้ยฉายเวยมองตามที่อวี๋ซือซือชี้มีบันไดแยกเป็นสองส่วนจริงด้วย ด้านบนมีครึ่งชั้น มีคนนั่งอยู่สองสามคน
รูปแบบบรรยากาศไม่เหมือนกับเป็นโรงอาหารเลย
"เอาเถอะ แต่ฉันขอยืนยันอีกครั้งว่าฉันมีสมองนะจ้ะ"
"โอเคๆ เธอมีๆ เออใช่วันนี้เธอทำงานเป็นยังไงบ้าง ห้องทำงานฉูเจ๋อหยางรกเหมือนกองขยะเลยใช่ไหม แล้วพวกทนายที่ทั้งนิสัยไม่ดีและก้าวร้าวนั่นหัวโล้นทุกคนเลยรึเปล่า"
อวี๋ซือซือเก็บรวบรวมลักษณะทนายความที่อยู่ในหัวของเธอ นึกคำไหนได้ก็พูดออกมา
เป้ยฉายเวยจำใจต้องยอมรับและพูดว่าไม่หรอก ทุกคนค่อนข้างยุ่ง แล้วที่เธอบอกว่าหัวโล้นแล้วใส่แว่นน่ะมีอยู่ไม่กี่คน แต่ว่าบรรยากาศก็ถือว่าใช้ได้"
" งั้นเธอเห็นไอ่คนชั่วฉูเจ๋อหยางนั่นรึเปล่า" อวี๋ซือซือนั่งใกล้เธอถามเสียงเบา แต่ทว่าในโรงอาหารก็มีพนักงานของเขาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ถ้าคนอื่นมาได้ยินว่าเธอพูดไม่ดีเกี่ยวกับหัวหน้า เธอกลัวว่าตัวเองจะออกไปจากโรงอาหารแห่งนี้ไม่ได้น่ะสิ"ไม่เห็น" พอเป้ยฉายเวยตอบเสร็จ ก็เงยหน้ามองซือซือที่วันนี้แต่งตัวแปลกๆ "ซือซือ ทำไมเธอแต่งตัวฮิปฮอปแบบนี้"คนกลุ่มหนึ่งที่สวมสูท ใส่รองเท้าหนัง การแต่งตัวเป็นการผสมผสานระหว่างชายและหญิง ใส่ทองเส้นใหญ่ นาฬิกา และในมือถือบาร์บีคิวอยู่ เป็นผู้หญิงที่หน้าตาดี แต่มองแล้วดูอ่อนหวานมากเธอจะบอกว่าฉันเหมือนเด็กหรอ" อวี๋ซือซือเขี่ยสร้อยโลหะบนหน้าอกเล่นเสียงดังกริ๊งกร๊าง พูดปนตลกว่า" ฉันได้ยินมาว่าเจ้านายฉันเป็นพวกเจ้าเล่ห์ฉันเลยเปลี่ยนการแต่งตัวแบบใหม่ เป็นไงเท่ไหม"เป้ยฉายเวยกระดกมุมปากขึ้น บังคับตัวเองให้ใจเย็นลง "เท่ๆ ตอนนั้นเจ้านายเธอตกใจไหม"อวี๋ซือซือถอนหายใจ พูดด้วยความล้มเหลว" ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้น แต่พวกเขาไม่ได้ว่าอะไรฉัน แล้วก็บอกให้ไปหยิบของที่ฝ่ายบุคคลเลย" " ดูแล้วผู้หญิงที่ทำงานนิตยสาร ทั้งมีความรู้เยอะและสุขุม" เป้ยฉายเวยเริ่มสงสัยว่าเจ้านายนิตยสารเฉนซีจะเป็นผู้หญิงแบบไหนกันแน่"ผู้หญิง อย่ามาล้อเล้นหน่า" อวี๋ซือซือหัวเราะเสียงเบา"เป็นผู้ชายตัวอ้วนสูงร้อยเก้าสิบ ไม่มีศิลปะอยู่ในสายเลือดเลย ดูไปแล้วหุ่นก็เหมือนพวกผู้ชายที่ขายตัวตอนกลางคืนนะ" "......" เป้ยฉายเวยรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรถามต่อแล้ว จึงเริ่มกินข้าวไปเงียบๆ
copy right hot novel pub