“อะไรนะ ฉู่หยางจากตระกูลฉู่หรอ?”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ อย่าว่าแต่ฉินกวนฉีเลย แม้แต่ฉินผู่หยางยังมีประกายคมกริบแวบผ่านไปในแววตา
ฉู่หยางจากตระกูลฉู่ หากเป็นคนในตระกูลหลวงต้องเคยได้ยินมาบ้าง เขาเลื่องชื่อไปทั่วเมืองซื่อจิ่วในด้านไร้ความสามารถและขี้ขลาด
ขยะแบบนี้กลับกล้าบุกเข้ามาในสถานที่ของฉินกวนฉี
ต่อให้เป็นฉินผู่หยางยังรู้สึกว่าฉู่หยางไม่อยากอยู่แล้ว
ประกายคมกริบแวบผ่านไปในแววตาของฉินกวนฉี “ไล่เขาออกไป ถ้าเขายังกล้าก่อเรื่องต่อก็เล่นงานให้ยับ โยนกลับไปให้ตระกูลฉู่!”
“เรื่องนั้น….ไม่ค่อยดีมั้งครับ”
ผู้จัดการชมรมหมากรุกเป่ยโต่วสีหน้าลำบากใจ
ถึงแม้ระหว่างเก้าตระกูลหลวงจะมีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ไม่มีทางลงมือกับเด็กๆจากตระกูลหลวงที่รุนแรงเกินไป
กตัญญูรู้คุณคือคุณธรรมอันดับแรก การไร้ผู้สืบทอดเป็นเรื่องใหญ่สุด หากมีใครฆ่าคนรุ่นหลังของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ง่ายต่อการเลื่อนขั้นความขัดแย้งถึงระดับตระกูลอย่างมาก
เมื่อซื่อจิ่วสงบมานานขนาดนี้ ก่อนหน้าตระกูลถังและตระกูลเย่สองตระกูลมีเรื่องกันชนิดที่แทบจะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเพราะเรื่องที่เย่หรูอี้นอกใจ ถ้าหากฉินกวนฉีเล่นงานฉู่หยางอีก ตระกูลฉู่และตระกูลฉินได้มีศึกเต็มกำลังแน่
ฉินกวนฉีกลับไม่แยแส ประกายคมกริบในแววตาฉายชัดกว่าเดิม “ทำตามที่ฉันบอก สถานที่ของฉันไม่ยอมให้บุกเข้ามาง่ายๆหรอกนะ”
ลังเลอยู่พักหนึ่ง ผู้จัดการก็มองเห็นความเด็ดเดี่ยวของฉินกวนฉี จึงไม่พูดอะไรอีกและถอยออกไป
“พวกเรามาต่อกัน”
ฉินกวนฉียิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพูดกับฉินผู่หยางและฉินเจียนเวยต่อ “เจียนเวยแสดงจุดยืนออกมาชัดเจนแล้ว แล้วนายล่ะน้องชาย?”
ในขณะที่พูด ใบหน้าของฉินกวนฉีฉายรอยยิ้มใสซื่อไร้พิษภัย แต่มีเพียงฉินผู่หยางที่รู้ว่ารอยยิ้มแบบนี้แหละ ที่กลืนกินคนอื่นไม่เหลือแม้กระดูก
ฉินผู่หยางจ้องฉินกวนฉีนิ่งๆอยู่หลายวิ เขาไม่ได้ตอบฉินกวนฉี พูดออกมาเพียงสี่คำ
“ขับไล่หมาป่า กลืนกินพยัคฆ์”
ฉินกวนฉีชะงักไปนิดหน่อย ไม่เข้าใจว่าที่ฉินผู่หยางพูดแบบนี้มีความหมายอะไรกัน
เขายิ้มกว้างขึ้นอีก “หมายความว่ายังไง”
“คุณปู่กำลังขับไล่หมาป่า กลืนกินพยัคฆ์”
ฉินผู่หยางพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “พี่คิดว่านอกจากคุณปู่จะไม่ต่อต้านการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นของเราสองพี่น้องแล้วกลับสนับสนุนอีกด้วย เป็นการบ่มเพาะเรารึ? ผิดถนัด คุณปู่กำลังขับไล่หมาป่า กลืนกินพยัคฆ์----ขับไล่หมาป่าเช่นพี่ กลืนกินพยัคฆ์เช่นผม สุดท้ายเราสองคนบาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่ มือที่สามได้ประโยชน์ไปแทน”
เมื่อคำพูดนี้ถูกเอื้อนเอ่ยออกไป ไม่ใช่แค่ฉินกวนฉีที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้แต่ฉินเจียนเวยยังอดมองฉินผู่หยางไม่ได้
เพียงแวบเดียวเท่านั้น ฉินกวนฉีก็หัวเราะออกมาเบาๆ "นายจะบอกว่านายเป็นพยัคฆ์ส่วนฉันเป็นหมาป่าหรอ? แต่ดูเหมือนพยัคฆ์จะแข็งแกร่งมากกว่าหมาป่านะ"
"......"
สีหน้าของฉินผู่หยางอึมครึมลง ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ฉินกวนฉีแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด และแสดงจุดยืนของตัวเขาเองอย่างชัดเจน----ต่อให้มันจะเป็นอุบายขับไล่หมาป่ากลืนกินพยัคฆ์ของคุณปู่จริงๆ เขาก็เต็มใจที่จะหลงกล กลืนกินฉินผู่หยางลงไปก่อน จากนั้นค่อยเดินเกมกับนายพรานอย่างคุณปู่ช้าๆ
"นายพรานที่ดีมักจะกระทำสิ่งต่างๆในรูปแบบล่าเหยื่อ รู้มั้ยว่าทำไมสัตว์ในแอฟริกาตะวันออกจึงดุร้ายขนาดนั้น?"
ฉินกวนฉียิ้มบางๆ "เพราะมนุษย์คิดว่ามนุษย์เป็นฝ่ายล่า บางครั้งสัตว์ก็สามารถล่ามนุษย์ได้เหมือนกัน"
"คุณปู่แก่แล้ว ทำไมพวกเราสองพี่น้องถึงต้องอยู่ภายใต้เงาของคุณปู่ด้วยล่ะ?"
ฉินกวนฉีหมุนแหวนโบราณบนนิ้วเบาๆ และพูดอย่างมีนัย "ตอนนี้คุณปู่ถึงวัยที่ควรเสพสุขได้แล้ว หากยังหลงในอำนาจจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเอาได้"
"น้องชายเอ๋ย เราเป็นพี่น้องกันนะ ระหว่างพี่น้องจะทะเลาะกันเองได้อย่างไร?"
ชะงักไปครู่หนึ่ง ฉินกวนฉีก็แตะขาของฉินผู่หยางเบาๆพลางเอ่ยยิ้มๆ "รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ขาสองข้างของนายขาดทั้งคู่ ฉันจะยังลงมือกับนายต่อไปได้อย่างไร ใช่มั้ยล่ะ? เจียนเวยก็ยอมถอยให้แล้ว นายก็ควรจะถอยออกจากเวทีแห่งนี้ได้แล้ว"
"......"
ฉินผู่หยางใบหน้าเคร่งขรึมไม่พูดอะไร ถ้าเขาไม่ได้โทรศัพท์หาถังเฉาบางทีอาจยังพอมีทางยื้อยุดกับฉินกวนฉีต่อ แต่ตอนนี้.....
ฉินกวนฉีมองออกว่าความตั้งใจของฉินผู่หยางเริ่มสั่นคลอนแล้ว จึงต้องการตีเหล็กต่อในขณะที่ยังร้อน
เพิ่งจะอ้าปาก----
ปึ้ง!
ประตูของห้องส่วนตัวเปิดออกอีกครั้ง
ผู้จัดการเดินเข้ามาอย่างรีบร้อนอีกรอบ
"เกิดอะไรขึ้นอีก?"
จิตสังหารฉายอยู่แวบหนึ่งในแววตาของฉินกวนฉี เขาถามอย่างรำคาญใจ
"มี มีแขกมาอีกแล้วครับ เขาบอกว่าเขาชื่อถังเฉา"
ผู้จัดการพูดด้วยความอกสั่นขวัญผวา
"ถังเฉา?!"
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ไม่ว่าจะเป็นฉินกวนฉีหรือฉินผู่หยาง หรือแม้กระทั่งฉินเจียนเวยต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากทั้งหมด
ในสามคนนี้ ความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของฉินเจียนเวยนั้นน้อยที่สุด เธออ้าปากค้างเล็กน้อย ใบหน้าแสดงถึงความอึ้ง แต่ในไม่ช้าเธอก็เข้าใจบางอย่างและยิ้มจางๆออกมา
ฉินผู่หยางคือคนที่ตกใจที่สุด
ก่อนหน้านี้เขาโทรหาถังเฉา แต่ปรากฏว่าถูกปฏิเสธแถมยังถูกยุติการร่วมมือระหว่างทั้งคู่ ซึ่งทำให้ฉินผู่หยางสูญเสียที่พึ่งพิงที่ใหญ่ที่สุดไป ขาข้างหนึ่งของเขาได้ก้าวไปอยู่ที่ขอบหน้าผาแล้ว
คิดไม่ถึงว่ากลับตาลปัตร ถังเฉาดันมา
ใบหน้าของฉินกวนฉีเป็นสีแดงบ้างสีขาวบ้าง ก่อนหน้านี้เขาดักฟังโทรศัพท์ของฉินผู่หยางได้ยินอย่างชัดเจนว่าพันธมิตรระหว่างเขาและถังเฉาจบลงแล้ว เขาถึงกล้าที่บีบเค้นให้สละสิทธิ์ คิดไม่ถึงว่าถังเฉาจะมา
เขามาทำอะไร?
"คุณชายฉิน เราจะปล่อยให้เขาเข้ามามั้ยครับ?"
ผู้จัดการยืนอยู่หน้าประตู ถามด้วยสีหน้าหวาดผวา
ฉินกวนฉีครุ่นคิดอยู่นานมาก สุดท้ายก็พยักหน้าและบอก “ให้เขาเข้ามา”
ฉินกวนฉีนั่งอยู่บนโซฟา สีหน้าอึมครึมถึงขีดสุด ถ้าไม่ยอมให้เขาเข้ามากลับกลายเป็นว่าตัวเองมีลับลมคมใน ยิ่งน่าสงสัยขึ้นไปอีก
ไม่นานนักประตูห้องส่วนตัวก็เปิดออก ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งก้าวยาวๆเข้ามา
พอเห็นฉินเจียนเวย ถังเฉาก็มีสีหน้าอึ้งเหมือนกัน ก่อนจะยิ้มให้เธอ “เธอก็อยู่ที่นี่หรอ?”
ฉินเจียนเวยยืนขึ้นและยิ้มน้อยๆ “รองหัวหน้า สวัสดีตอนดึกค่ะ”
ถังเฉาหัวเราะร่วนและโบกมือ “ไม่ได้ฟังเธอเล่นพิณมานานมาก ขอสักเพลงสิ”
“ค่ะ”
ฉินเจียนเวยคำนับเบาๆและบอกยิ้มๆ
คนบ้าดนตรีที่ไม่ได้แตะดนตรีมานาน เมื่ออยู่ต่อหน้าถังเฉาก็เชื่อฟังเหมือนลูกแมวน้อย
ไม่นานนัก เสียงไพเราะเพราะพริ้งก็ดังขึ้น
ดนตรีนั้นช้าบ้างเร็วบ้าง ประหนึ่งมือกระบี่ฝีมือดีสองคนในยุคโบราณกำลังประลองกันในป่าไม้ไผ่ จังหวะขึ้นลง ราวกับได้ไปที่นั่นด้วยตัวเอง
“ บทเพลงเลื่องชื่อของเสินโจว เข้ากับบรรยากาศในตอนนี้”
ถังเฉากล่าวยิ้มๆ
“.copy right hot novel pub