โหมดมืด
ภาษา arrow_icon

เชลยสวาทเจ้าทะเลทราย

บทที่ 18 (1)

ในค่ำคืนนั้น เครื่องบินส่วนตัวของผู้พันจาฮัสด์ก็ทะยานสู่ท้องฟ้ามุ่งหน้าไปยังรัฐคูเวต เครื่องบินส่วนตัวที่เพียบพร้อมไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวก มีพื้นที่ใช้สอยกว่าบ้านหลังเล็กของจิลลาดาหลายสิบเท่า ทว่ากลับดูเงียบสงัด มีผู้โดยสารร่วมเดินทางแค่สามคนเท่านั้น

ผู้พันจาฮัสด์และจิลลาดานั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้หนานุ่มตัวใหญ่ หญิงสาวหันหน้าเข้าหาหน้าต่างเครื่องบิน แม้ทิวทัศน์ภายนอกจะมืดมิดมองไม่เห็นอะไรในยามราตรีกาล แต่จิลลาดาก็สมัครใจมองภาพเหล่านี้มากกว่ามองใบหน้าหล่อเหลาของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ

“แพรไหม...”

“ไม่ต้องพูด แพรไม่อยากฟัง อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ และถ้าจะกรุณา ก็ช่วยลุกไปให้พ้นหน้าแพรด้วย”

ผู้พันจาฮัสด์ไม่ทันได้พูดอะไรออกมาก็ถูกจิลลาดาเค้นเสียงดักคอ แถมยังออกปากไล่โดยไม่สนใจอาการตีสีหน้าบูดบึ้งของผู้พันจาฮัสด์

ทางด้านของผู้กองคาฮานที่กำลังจะเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้กับเจ้านายของตนเอง พอเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดี สงครามน้ำลายระหว่างหนุ่มสาวทั้งคู่กำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว จึงรีบถอยร่นกลับไปยังห้องพักของตนเองทันที

ผู้พันจาฮัสด์ รอจนกระทั่งผู้กองคาฮานเดินพ้นรัศมีที่จะได้ยินแล้ว จึงตอบโต้จิลลาดาอย่างไม่ต้องถนอมน้ำใจซึ่งกันและกัน

“อย่าสำคัญตัวผิด คิดว่าเราอยากมองหน้าเจ้านักหนา”

“ถ้ายังงั้นก็ออกไปให้พ้นๆ หน้าแพรสิคะ”

“เราไปแน่ แต่จะไปหลังจากได้คุยกับเจ้าจนรู้เรื่องแล้ว”

ผู้พันจาฮัสด์ตอบเสียงเย็น เขายอมรับว่าเจ็บปวดใจทุกครั้งที่เห็นจิลลาดาแสดงท่าทีเฉยเมยใส่เขา และโมโหอยากหักคออีกฝ่ายทุกครั้ง ที่จ้องมองเขาด้วยแววตาเย็นชาราวกับไม่รู้จักกัน

จิลลาดากัดเม้มริมฝีปากแน่น บังคับไม่ให้หัวใจต้องเจ็บช้ำกับถ้อยคำของผู้พันจาฮัสด์ แต่หัวใจเจ้ากรรมก็ไม่เชื่อฟังคำสั่ง มันเจ็บซ่านทุกครั้งที่คิดว่าผู้พันจาฮัสด์ต้องการสิ่งใดจากเธอ

“ถ้ายังงั้นก็รีบๆ พูดมาสิคะ จะได้ไม่เสียเวลา แพรเบื่อหน้าผู้พันจนแทบจะอาเจียนแล้วค่ะ”

“บัดซบ! แพรไหม”

ผู้พันจาฮัสด์สบถลั่น ถลาเข้าไปกระชากร่างบางระหงจนปลิวมานั่งซ้อนอยู่บนตักของตัวเอง ใบหน้าคมเข้มถมึงทึงไม่ต่างจากยักษ์ ดวงตาสีนิลวาวโรจน์ด้วยโทสะ ขณะเค้นเสียงตอกย้ำความเจ็บปวดให้กับจิลลาดา

“เบื่อหน้าผัวมากนักหรือแพรไหม ถ้าหากเราทำแบบนี้เจ้าคงไม่บ่นว่าเบื่อใช่ไหม”

จิลลาดาไม่คิดว่าผู้พันจาฮัสด์จะหยาบคายกับเธอจึงไม่ทันระวังตัว เปิดโอกาสให้ผู้พันเอื้อมมือมาบีบขย้ำปทุมถันของเธอได้อย่างเต็มที่

“ยะ...หยุด...หยุดเดี๋ยวนี้นะ”

จิลลาดามั่นใจว่าตนเองตวาดด่าเสียงดัง แต่น้ำเสียงที่หลุดลอดออกมากลับขาดห้วง มีเสียงครางกระเส่าหลุดลอดออกมาในจังหวะที่ปลายนิ้วแข็งแกร่งบดขยี้ยอดถันอย่างหนักหน่วงจนแข็งชูชันสู้ปลายนิ้วของอีกฝ่าย

“ยังอยากพูดอยู่อีกไหมว่าเจ้าเบื่อเรา เบื่อมือและปากของเรา ที่มอบความสุข ทำให้เจ้าครางกระเส่าได้”

ผู้พันจาฮัสด์ถามเยาะหยัน ขณะเดียวกันก็จับร่างบางระหงให้นั่งอยู่ในตำแหน่งพอเหมาะสัมผัสได้ถึงกายแข็งขึงของเขาที่ผงาดชูชันเสียดสีกับผิวกายอ่อนนุ่มหวานฉ่ำของเธอ

จิลลาดาขบเม้มเรียวปากจนเป็นเส้นตรง สกัดกั้นเสียงครางไม่ให้เล็ดลอดออกมาตอนที่ผู้พันจาฮัสด์แกล้งทรมานเธอด้วยการกระดกสะโพกขึ้นลงอย่างจงใจ

“ปล่อยแพรลงเดี๋ยวนี้”

“ไม่ เราจะไม่ปล่อยเจ้าลงจนกว่าเจ้าจะถอนคำที่บอกว่าเบื่อหน้าเรา”

“แพรไม่ถอนคำพูด แพรเบื่อหน้าผู้พัน ขยะแขยงผู้พันยิ่งกว่าไส้เดือนกิ้งกือ”

“ปากจัดจริงๆ นะแพรไหม ต้องการให้เราล้างปากเจ้าด้วยวิธีนี้ใช่ไหม เจ้าถึงจะเลิกด่าเราได้”

ผู้พันจาฮัสด์ไม่รอให้จิลลาดาพ่นวาจาทำให้ตัวเองเจ็บซ่านอีกครั้ง เขาปิดปากอิ่มด้วยริมฝีปากร้อนผะผ่าว บดจูบเร่าร้อนอย่างต้องการสั่งสอนให้คนในอ้อมแขนหลาบจำ

“ปล่อย...”

จิลลาดาครางประท้วง ปวดระบมไปทั่วเรียวปากที่ถูกกระแทกจุมพิตอย่างไร้ความปราณี ไม่มีความหวานฉ่ำ ไม่มีความวาบหวามสำหรับจุมพิตใจครั้งนี้

“แพรไหม เราต้องการเจ้า”

เมื่อจุดไฟสวาทให้ปะทุเดือดแล้ว ผู้พันจาฮัสด์ก็ทำท่าจะหยุดไม่ลง อยากต่อที่เหลือจนกว่าจะเดินทางถึงเขตแดนของความหฤหรรษ์หรรษา มือใหญ่ทั้งสองฟอนเฟ้นหนักหน่วงทั่วปทุมถันทั้งสอง กายแข็งขึงขยับเสียดสีแนบชิดกับสะโพกผายมนและดินแดนความหวานฉ่ำของกายสาว

“แพรบอกให้ปล่อย ได้ยินไหมผู้พันจาฮัสด์” จิลลาดาเค้นเสียงสั่ง เมื่อเรียวปากอิ่มถูกปล่อยให้เป็นอิสระเพียงชั่วครู่

“เราอยากต่อให้จบ ไปที่ห้องนอนนะแพรไหม”

ผู้พันจาฮัสด์กระซิบเว้าวอน กายแข็งขึงเต้นระริกชูชัน ความต้องการอัดแน่นจนเขาปวดหนึบไปทั่วแก่นกาย

จิลลาดาไม่ยอมตกเป็นทาสเสน่หาของผู้พันจาฮัสด์อีก แม้เรือนกายต้องการทำตามที่ผู้พันจาฮัสด์กระซิบชวนมากเพียงใด แต่เธอก็ทำใจแข็งเอ่ยปฎิเสธเสียงเย็น

“ไม่ แพรไม่ต้องการ แพรบอกให้ปล่อยแพร”

“เจ้าไม่ต้องการเรา แต่เราต้องการเจ้า และต้องการเข้าไปอยู่ในตัวเจ้า”

ผู้พันจาฮัสด์ปวดร้าวทั่วกายจนหัวหมุน อยากเป็นคนใจร้ายจับหญิงสาวร่วมรักทั้งที่เธอตะโกนปฏิเสธป่าวๆ

ส่วนจิลลาดาก็โมโหจับใจที่ผู้พันจาฮัสด์ไม่ฟังคำสั่ง ไม่หยุดทรมานเธอด้วยวิธีนี้

“ฟังไม่เข้าใจใช่ไหม ถ้ายังงั้นต้องเจอแบบนี้”

ไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลงมาก จิลลาดาอาศัยจังหวะที่ผู้พันจาฮัสด์กำลังเผลอ กัดลงไปบนจมูกโด่งเป็นสันของอีกฝ่ายเต็มแรง และใช่ว่าจะกัดเบาๆ เสียเมื่อไร หญิงสาวฝังฟันขาวสะอาดลงไปบนจมูกของผู้พันจาฮัสด์เต็มแรง จนอีกฝ่ายร้องตะโกนลั่น ผงะถอยหนีด้วยความเจ็บแปลบ

“โอ๊ย! ยายหมาบ้า”

ผู้พันจาฮัสด์สบถเสียงดัง พร้อมกันนั้นก็ผลักร่างบางระหงจนจิลลาดาแทบผลัดตกไปจากหน้าตักของเขา

จิลลาดาไม่รอช้า พอถูกผู้พันจาฮัสด์ผลักออกห่าง ก็รีบกระโจนลงจากหน้าตักของอีกฝ่าย ทำท่าจะวิ่งหนีไปจากบริเวณดังกล่าวแต่ก็ถูกผู้พันหนุ่มสั่งห้ามเสียงเข้ม

“ไม่ต้องหนีไปไหนทั้งนั้นแพรไหม เราหมดอารมณ์ที่จะร่วมรักกับเจ้าแล้ว”

ผู้พันจาฮัสด์ยกมือลูบไปบนจมูกของตัวเอง พอสัมผัสโดนความเหนียวเหนอะที่คาดว่าเป็นเลือด ก็รีบลดฝ่ามือลงมาดู และก็เป็นเช่นดั่งที่คิด เมื่อปลายนิ้วของเขามีคราบเลือดติดมาด้วย

“ต้องไปฉีดยาบาดทะยัก กันพิษสุนัขบ้าด้วยไหมเนี่ย”

จิลลาดาถึงกับหน้าชาขณะถูกแขวะ “ก็ดีค่ะ ไปฉีดยาก็ดี แต่คนอย่างผู้พันจาฮัสด์ จะฉีดแค่ยากันบาดทะยักคงไม่พอ คงต้องฉีดยาลดความใจร้าย ลดความหลอกลวงลงไปด้วย”

‘นอกจากยาที่เจ้าว่า เราอยากให้หมอฉีดยาที่สามารถทำให้เรารักเจ้าน้อยลงไปด้วย’

ผู้พันจาฮัสด์พึมพำอยู่ในใจ ยกมือสัมผัสตรงบริเวณที่ถูกกัดเมื่อสักครู่ จากนั้นก็ก้มลงมองเรือนกายของตนเองที่ยังคงผงาดง้ำดุนดันกางเกงจนมองเห็นความใหญ่โตได้อย่างชัดเจน แล้วเค้นเสียงเหน็บจิลลาดาด้วยความโมโห

“เจ้าต่างหากที่ใจร้าย แพรไหม เจ้าดูผลงานของเจ้าว่าทำอะไรกับเราไว้ นอก

จากกัดจมูกเราจนเลือดออกแล้ว เจ้ายังทำให้ปวดหนึบ เพราะเจ้านี่มันไม่ยอมสงบสักที”

จิลลาดาอายหน้าแดงซ่านขณะมองตามสายตาของผู้พันจาฮัสด์ และยิ่งอายหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นว่ากายแข็งขึงยิ่งขยายใหญ่โตมากขึ้นแถมยังสั่นกระเพื่อมตามแรงหอบหายใจหนักหน่วงของผู้เป็นเจ้าของ หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่ เผยความหิวกระหายในกายแข็งขึงให้ผู้เป็นเจ้าของได้เห็น

และสายตาของจิลลาดาก็ทำให้ผู้พันจาฮัสด์ต้องสบถลั่นด้วยความโมโหระคนปวดร้าวทั่วแก่นกาย

“นรก! เจ้าเลิกมองเราด้วยสายตาแบบนี้ได้แล้วแพรไหม”

จิลลาดายังไม่รู้ตัว หญิงสาวเงยหน้าขึ้นพร้อมกับตวัดปลายลิ้นสีชมพูเลียไล้เรียวปากอิ่มของตนเองไปพร้อมกันด้วย ยิ่งทำให้ผู้พันจาฮัสด์ปวดหนึบมากกว่าเดิมอีกหลายสิบเท่า

“แพร...ก็แค่มองตามสายตาของผู้พันเท่านั้น” หญิงสาวแก้ต่างให้กับตัวเอง

“ใช่ แค่มองตามสายตาของเรา แต่เจ้ามองด้วยความหิวกระหาย และยังตวัดลิ้นนุ่มๆ ของเจ้าเลียริมฝีปากของตัวเอง เจ้าก็รู้นี้ว่าเราชอบลิ้นของเจ้ามากแค่ไหน แล้วทีนี้เจ้ารู้หรือยังว่าเจ้าเป็นแม่มด ทำให้เราปวดหนึบไปทั้งกายเท่านั้นยังไม่พอ เจ้ายังกัดจมูกเราซะเลือดซึม เจ้ามันแม่มดกลับชาติมาเกิดชัดๆ”

“แพร...” จิลลาดาไม่มีโอกาสแก้ตัว เพราะผู้พันจาฮัสด์เผ่นแนบออกไปแล้ว เมื่อตกอยู่คนเดียวท่ามกลางห้องโดยสารขนาดใหญ่ของเครื่องบินลำนี้ หญิงสาวก็ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้หนานุ่ม ทอดสายตามองไปยังนอกหน้าต่างเครื่องบิน พักเรื่องของผู้พันจาฮัสด์ไว้ชั่วครู่ แล้วคิดถึงเรื่องของพี่สาวฝาแฝดที่เธอเพิ่งมีโอกาสล่วงรู้ว่าตนเองยังมีพี่สาวอยู่ด้วย ทางด้านของผู้พันจาฮัสด์ พอหลบหน้าจิลลาดามาแล้ว ก็ต้องนั่งสงบสติอารมณ์เป็นนานกว่าจะข่มกายแข็งขึงร้อนผะผ่าวให้สงบนิ่งเหมือนเดิมได้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อถูกปลุกให้กายผงาดง้ำแล้ว แต่ไม่สามารถเดินทางไปถึงที่สิ้นสุดของความหฤหรรษ์ได้ หลังจากกายสงบนิ่งอยู่ในกางเกงเหมือนเดิมแล้ว ก็ตรงไปยังพักของผู้กองคาฮาน แล้วยกมือทุบลงไปหนักๆ บนประตูห้องโดยไม่สนใจว่าคนภายในห้องจะนอนหลับหรือยัง “คาฮาน เปิดประตูให้เราเดี๋ยวนี้” ไม่ต้องให้ผู้เป็นเจ้านายต้องตะโกนเรียกให้เมื่อยปาก แค่ได้ยินเสียงทุบประตูห้อง ผู้กองคาฮานก็รีบกระโจนมาเปิดประตูห้องในทันที และเมื่อเห็นสีหน้าที่เรียกว่าบูดเสียยิ่งกว่าราชสีห์อารมณ์บูด กอปรกับเห็นมีเลือดออกตามรอยฟันบนจมูกโด่งๆ ของผู้เป็นเจ้านาย ก็ถึงกับออกปากถามด้วยความตกใจ “ผู้พัน โดนใครกัดมาหรือครับ” “หมาบ้า!” ผู้พันจาฮัสด์กระแทกเสียงตอบอย่างห้วนจัด ผู้กองคาฮานเลิกคิ้วขึ้นสูง ทำสีหน้างุนงงกับคำตอบที่ได้ยิน แต่พอคิดออกว่าใครคือเจ้าของรอยฟันบนจมูกของผู้พันหนุ่ม ก็แทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ น้ำเสียงที่เอ่ยถามต่อจึงกลั้วไปด้วยเสียงหัวเราะร่วน “คุณแพรไหมหรือครับ ที่กัดจมูกของผู้พัน” “แล้วเจ้าคิดว่าจะมีใครอีก ที่กล้ากัดจมูกเราซะจมเขี้ยว” ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดใจ ยิ่งเห็นลูกน้องหัวเราะร่วนเพราะความขบขำ ผู้พันจาฮัสด์ก็ยิ่งโมโหจัดเอ็ดตะโรลูกน้องเสียงดังลั่น “หยุดหัวเราะได้แล้วเจ้าคาฮาน หายามาทำแผลให้เราด้วย” “ครับผู้พัน”

copy right hot novel pub

แสดงความคิดเห็น / รายงานปัญหาเว็บไซต์