เมื่อได้ผู้พันจาฮัสด์มาคอยดูแล จิลลาดาก็มีกำลังใจมากขึ้น แม้การแสดงออกภายนอกจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจ ไม่ใยดี พร่ำบอกว่ารำคาญและเหม็นหน้าเวลาผู้พันจาฮัสด์อยู่ใกล้ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วจิลลาดแอบยิ้มดีใจอยู่ในใจ เวลาผู้พันจาฮัสด์เผลอก็ทอดสายตามองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่เผยให้เห็นความรักหมดหัวใจ
กำลังใจที่ได้รับจากผู้พันจาฮัสด์ รวมทั้งการเฝ้าคอยปรนนิบัติระหว่างที่จิลลาดาอยู่ในโรงพยาบาล ช่วยทำให้หญิงสาวมีกำลังใจและสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ในอีกสองวันถัดมา
จิลลาดานั่งมองชุดที่ผู้เป็นยายนำมาให้เปลี่ยนกลับบ้านด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตมองชุดแซกสีขาวตัดเย็บอย่างดีจากผ้าไหมนุ่มลื่นมือสลับกับมองใบหน้าของผู้เป็นยายแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ยาย แน่ใจนะว่าจะให้แพรใส่ชุดนี้กลับบ้าน”
“ทำไมวะนังแพร ชุดที่ผู้พัน เอ้ย! ที่ข้าซื้อมาให้เอ็งมันไม่สวยหรือยังไงวะ” ยายสุดาเกือบเผลอหลุดปากบอกไปว่าใครเป็นคนจ่ายเงินเพื่อซื้อชุดผ้าไหมราคาแพงชุดนี้ให้กับจิลลาดา
ทางด้านจิลลาดาขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง สงสัยในคำพูดของผู้เป็นยาย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามออกมา ยังคงเก็บอาการสงสัยไว้ในใจ
“ชุดนี้มันสวยมากค่ะยาย สวยและแพงเกินไปจนแพรไม่กล้าใส่”
ผ้าไหมที่นุ่มเนียนมือ การตัดเย็บที่แสนประณีต กอปรกับยี่ห้อเสื้อที่เย็บติดอยู่ตรงคอเสื้อ ซึ่งเป็นแบรนด์เนมชื่อดังก้องโลกทำให้จิลลาดาไม่กล้าหยิบชุดแซกชุดนี้มาใส่ เพราะรู้ว่าราคาของมันคงแพงเอาการ และแน่นอนว่ายายของเธอไม่มีทางซื้อชุดนี้ให้กับเธอ คงเป็นผู้พันจาฮัสด์ที่ไปสรรหาชุดนี้มาให้เธอสวมใส่
ยายสุดามองหลานสาวด้วยความรำคาญที่อีกฝ่ายไม่ยอมไปเปลี่ยนชุดสักที นางจึงต้องใช้วิธีการดุ ซึ่งมักจะใช้ได้เสมอมา
“ไปเปลี่ยนชุดได้แล้วนังแพร เดี๋ยวไม่ทันฤกษ์”
“ฤกษ์? ฤกษ์อะไรหรือยาย” จิลลาดาทวนคำเสียงสูง
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกนังแพร ไปเปลี่ยนชุดซะ”
ยายสุดารีบดันหลังหลานสาวให้เข้าไปในห้องน้ำ พอปิดประตูตามหลังหลานสาวแล้ว นางก็ลอบเป่าลมออกจากปากด้วยความโล่งอก
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ ความลับเกือบแตกแล้ว สงบปากสงบคำบ้างนะนังสุดา”
ยายสุดาพึมพำต่อว่าตัวเองอยู่เบาๆ พอนึกถึงเรื่องดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นภายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ก็หัวเราะร่วนด้วยความถูกใจ
จิลลาดาหายเข้าไปในห้องน้ำไม่เกินสิบนาที ก็ออกมาในชุดแซกสีขาวที่ใส่ได้เข้ารูปกับตัวเธอพอดีราวกับว่าคนที่ซื้อมาให้นั้นกะไซส์ได้ไม่มีผิดเพี้ยน
“โอ้โห! นังแพร เอ็งสวยชะมัดเลยวะ”
ยายสุดาชมไม่ขาดปาก หลังจากเห็นหลานสาวเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว
จิลลาดาก้มลงมองตัวเอง แล้วเอ่ยบอกตามความรู้สึกในขณะนี้ “แพรว่าชุดมันแปลกๆ นะยาย”
“แปลกยังไงวะ”
“ก็มันเหมือนชุดแต่งงานไม่มีผิด”
‘ก็ชุดแต่งงานนั่นแหละ’
ยายสุดาตอบอยู่ในใจ แต่พออ้าปากลั่นวาจาออกมากลับเป็นคนละเรื่องกัน
“เอ็งคิดมากไปได้นังแพร ชุดนี้มันก็เป็นชุดผ้าไหมธรรมดาๆ เท่านั้นเอง กลับบ้านกันเถอะ ป่านนี้ทุกคนคงรอเอ็งแย่แล้ว”
“ทุกคนที่ยายกำลังพูดถึงนี่มีใครบ้างคะ”
ขณะเอ่ยถาม ดวงตากลมโตก็เหลือบมองทั่วห้องพักฟื้นคนไข้ เพื่อมองหาคนที่อยู่เฝ้าดูแลเธอมาหลายวันแล้ว ทว่าในวันนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้พันจาฮัสด์
“ข้าก็หมายถึงไอ้ป๊อก ใยไหม แล้วก็บรรดาอดีตขาไพ่ของข้านะสิ ที่กำลังรอเอ็งอยู่ในบ้าน”
‘รวมทั้งผู้พันจาฮัสด์และชีคฮาซันด้วย’
ผู้เป็นยายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขณะตอบประโยคที่เหลืออยู่ในใจ
เมื่อกวาดสายตารวมทั้งเดินหาจนทั่วห้องแล้ว แต่ก็ไม่เห็นผู้พันจาฮัสด์ จิลลาดาจึงหลุดปากเอ่ยถาม
“ยายจ๋า ผู้พันไม่มารับแพรกลับบ้านหรือคะ”
“วันนี้คงไม่มา ผู้พันเขาฝากยายให้บอกเอ็งด้วยว่าวันนี้เขาติดธุระสำคัญมารับเอ็งกลับบ้านไม่ได้”
“ธุระอะไรที่สำคัญกว่าลูกเมีย” จิลลาดาเอ่ยถามเสียงแข็ง ทว่าเธอหาได้โกรธผู้เป็นยายไม่ แต่เธอกำลังโกรธผู้พันจาฮัสด์ต่างหาก
“ปากพร่ำรำพันบอกว่ารักแพร รักลูก สัญญาว่าจะดูแลแพรให้ดีที่สุด แต่ผู้พันก็เห็นเรื่องอื่นสำคัญกว่าแพร ไม่ยอมมารับแพรกลับบ้าน”
ความเป็นแม่คนที่มีอารมณ์ค่อนข้างแปรปรวนเกือบทุกเวลา จิลลาดาจึงร้องไห้ออกมาเบาๆ ขณะรำพันตัดพ้อต่อว่าผู้พันจาฮัสด์ เดือดร้อนยายสุดาที่ต้องรีบแก้ต่างให้กับหลานเขยสุดที่รักเป็นการด่วน
“เอ็งอย่าโกรธผู้พันเลยนะนังแพร ผู้พันเขามีธุระสำคัญจริงๆ สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา เลยทำให้มารับเอ็งกลับบ้านไม่ได้”
“ช่างเถอะค่ะยาย เขาจะมีธุระสำคัญมากแค่ไหนก็เรื่องของเขา แพรไม่สนใจแล้ว”
ปากนั้นบอกว่าไม่สนใจ แต่หยาดน้ำตาอุ่นกลับไหลเป็นทางยาวด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในตัวผู้พันจาฮัสด์
“นังแพรหยุดร้องไห้ได้แล้ว เดี๋ยวก็พลอยทำให้ไม่สบายอีกครั้งหรอก”
ยายสุดาเตือนเสียงเข้ม และก็ได้ผลชะงักเมื่อจิลลาดาค่อยๆ สูดสะอื้น ยกมือเช็ดน้ำตาให้เหือดแห้ง แล้วเอ่ยถามถึงพี่สาวแทน
“เมื่อสักครู่ยายบอกแพรว่าพี่ไหมรออยู่ในบ้าน พี่ไหมออกจากสถานบำบัดยาแล้วหรือคะ”
“ออกมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนังแพร”
“ทำไมไม่มีใครบอกแพรเลยคะ แล้วใครไปรับพี่ไหมกลับบ้านคะยาย”
จิลลาดาเอ่ยถามพร้อมกับเดินออกมาจากห้องพักคนไข้ พอพูดถึงพี่สาวที่ไม่ได้พบกันหลายวัน รวมทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายรักษาอาการติดยาจนหายขาดสามารถกลับบ้านได้ตามเดิมแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นอยากพบพี่สาว และการพูดถึงพี่สาวก็ช่วยให้เธอลืมเรื่องของผู้พันจาฮัสด์ได้ชั่วขณะ
“ผู้พันนั่นแหละเป็นคนจัดการเช่ารถให้ไปรับใยไหมกลับบ้าน นอกจากนั้นยังสั่งให้ไอ้ผู้กองหนุ่มที่มาพร้อมกันไปตระเวณซื้อของบำรุงร่างกายทั้งของเอ็งและของใยไหมมาใส่เต็มตู้เย็นล้นไปถึงตู้กับข้าวจนข้าคิดว่าเดือนนี้ทั้งเดือนพวกเอ็งสองคนจะกินหมดหรือเปล่า”
“จริงหรือคะยาย” จิลลาดาเลิกคิ้วถามเสียงสูงราวกับไม่เชื่อ
“เออ...จริงสิวะ นอกจากจะซื้อของดีๆ ให้เอ็งกินแล้ว ผู้พันยังสั่งให้ซื้อของกินทั้งผลไม้กระป๋อง เครื่องดื่ม นมสดต่างๆ มาไว้ในตู้เย็นด้วย หวานปากไอ้ป๊อกที่นั่งเฝ้าตู้เย็นอยู่ทั้งวัน ป่านนี้มันคงกินเพลินจนลุกไม่ขึ้นแล้วละมั้ง”
จิลลาดาหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะนึกภาพตามตอนผู้เป็นยายกำลังเอ่ยถึงป๊อก เด็กข้างบ้านที่มักจะมาอยู่ที่บ้านของเธอให้ยายได้เรียกใช้สอย
“ยายคะ ยายคิดว่าที่ผู้พันทำแบบนี้เป็นเพราะเขารักแพรหรือว่าเขาแค่ต้องการลูกในท้องของแพรเท่านั้นจึงมาทำดีกับแพรทุกอย่าง”
ยายสุดาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตอบระคนตำหนิหลานสาวไปในตัว
“นังแพรเอ๋ย...นี่เอ็งยังมองไม่ออกอีกหรือว่าไอ้ผู้พันมันรักเอ็งมากเพียงใด”
“แพรไม่มั่นใจนี่คะยาย แพรยังกลัวอยู่ กลัวว่าผู้พันจะไม่ได้แพรจริงๆ”
“แล้วต้องให้ผู้พันทำยังไง เอ็งถึงจะเชื่อใจเขา”
“ไม่รู้คะยาย แพรไม่รู้ว่าทำอย่างไรแพรถึงจะไว้ใจผู้พันได้”
จิลลาดาพึมพำพูดอยู่ในลำคอกับคำถามที่ผู้เป็นยายเอ่ยถามแทงใจดำ ซึ่งเป็นคำตอบที่เธอเองก็ตอบไม่ได้เช่นเดียวกัน
เมื่อกลับมาถึงบ้านพักหลังน้อยในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา จิลลาดาก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันจนเกือบเป็นเส้นตรง เมื่อหน้าบ้านของเธอมีรองเท้านับสิบๆ คู่วางไว้อย่างเป็นระเบียบ แถมยังไม่เสียงพูดคุยกัน เสียงหัวเราะร่วนด้วยความสุขดังเซ็งแซ่ไปหมด
และน้ำเสียงที่สนทนากันดังเล็ดลอดมากระทบโสตประสาทนั้นเธอจำได้ขึ้นใจว่ามีน้ำเสียงของคนที่เธอเฝ้าคะนึงถึงด้วย
พอเดินเข้าไปในบริเวณบ้าน ก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น ผู้พันจาฮัสด์นั่งพับเพียบอยู่กับพื้น ข้างๆ ตัวเขามีผู้กองคาฮานและบรรดาอดีตขาไพ่ของยายเธอนั่งอยู่เป็นเพื่อนด้วย ส่วนพี่สาวเธอและป๊อกนั่งอยู่ตรงบริเวณมุมห้อง และสิ่งที่ทำให้เธอตกใจมากที่สุดก็คือตรงหน้าผู้พันจาฮัสด์มีพานหมั้นพร้อมกับพานสินสอดวางอยู่เกือบสิบพาน ส่วนผู้ที่นั่งเป็นประธานอยู่บนโซฟาเก่าๆ คือชีคฮาซัน ซึ่งเธอไม่นึกว่าจะได้เห็นพระองค์ภายในบ้านหลังเล็กๆ ของเธอ “เอ่อ...ไม่ทราบว่าทุกคนกำลังทำอะไรกันอยู่คะ” จิลลาดาเอ่ยถามหลังจากยกมือไหว้ชีคฮาซันเรียบร้อยแล้ว และยังคงยืนอยู่ตรงช่องประตูไม่ยอมเข้าไปข้างในห้องรับแขกที่ดูเล็กถนัดใจเมื่อมีคนนั่งอยู่เกือบยี่สิบคน “เราจะมาสู่ขอเจ้าให้ผู้พันจาฮัสด์” ชีคฮาซันเป็นผู้ตรัสให้คำตอบกับจิลลาดา ซึ่งทำเอาหญิงสาวงุนงงไม่ต่างจากไก่ตาแตกหาทางกลับบ้านไม่เจอ “สู่ขอ? แพรฟังผิดหรือเปล่าคะ” จิลลาดาถามซ้ำ โดยคราวนี้จงใจหันไปจ้องมองเขม็งยังผู้พันจาฮัสด์ ซึ่งอยู่ในชุดชายชาติทหารของรัฐคาไลยแบบเต็มยศ “เจ้าฟังไม่ผิดหรอกแพรไหม ท่านพี่เดินทางจากรัฐคาไลย เพื่อมาสู่ขอเจ้าให้เข้าพิธีแต่งงานกับเราอย่างถูกต้องตามประเพณีของประเทศไทย” “เข้ามาข้างในสิแพรไหม” ชีคฮาซันตรัสเรียก เริ่มเห็นแววยุ่งยากขึ้นมาในฉับพลัน เพราะจิลลาดาไม่ยอมเข้ามาภายในบ้าน แถมยังก้าวเท้าถอยหลังทีละก้าวด้วย “ทำไมไม่มีใครบอกแพรเรื่องนี้ก่อน ผู้พันกำลังเล่นตลกอะไรคะ” เมื่อจิลลาดาเริ่มก้าวถอยหนี ผู้พันจาฮัสด์ก็ลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินเข้าไปหายอดดวงใจ แต่ถูกจิลลาดาชี้นิ้วสั่งห้ามเสียงห้วนจัด
copy right hot novel pub