อันที่จริงแล้วตอนที่คังวี่จิ่นบอกว่าตนเองจะไม่ไป เมื่อเขาไม่ไป ลึกๆในใจของคังเสว่มี่ก็ทำการตัดสินใจไปแล้ว เรียบร้อย
ในเมื่อตัวตนเดิมกำชับให้นางทำ ให้นางช่วยให้คังวี่จิ่นเดินออกมาจากฉายานามลูกผู้ดีมีเงินที่วันๆไม่ทำอันใด อย่างนั้นนางก็จะต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองตกปากรับคำที่จะทำให้ถึงที่สุด
มิหนำซ้ำ
ในใจนางก็ยังนับถือว่าคังวี่จิ่นเป็นพี่ชายของตนเอง ย่อมมิอาจปล่อยให้เขาหาข้ออ้างมาแก้ตัวเยี่ยงนี้ ละทิ้งที่จะไปโก๋วจื่อเจี้ยนได้อย่างง่ายดาย
คังเสว่มี่ยิ้มเล็กน้อย ริมฝีปากสีชมพูเปิดเล็กน้อย
“ได้ ได้ เช่นข้าก็จะไปโก๋วจื่อเจี้ยนด้วย ถือว่าไปเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวคังวี่จิ่นก็แล้วกัน!”
เมื่อได้ยินดังที่กล่าวมา ท่านอ๋องคังและอาชีน้ำเสียงของทั้งสองคนก็ผ่อนคลาย ในทันที และแสดงร้อยยิ้มออกมาอย่างเด่นชัด
“อย่างนี้สิถึงจะถูก ในเมื่อเป็นพี่น้องกัน ก็ต้องได้รับความทุกข์ยากลำบากไปด้วยกัน”
คังวี่จิ่นหันกลับมาเห็นพะโล้ขาหมูกล่องนั้น ดวงตาทั้งสองส่องแสงประกายผ่านมา
“โอ๊ย ใครซื้อขาหมูของร้านเมี่ยวเว่ยเซวียนมา!"
คังเสว่มี่ เห็นท่าทางเขาหิวโหยของเขา นางแบะปากแล้วเอ่ย
“นอกจากข้าแล้ว ยังจะมีใครรู้ว่าเจ้าชอบแทะขาหมูอีก”
คังวี่จิ่นดึงลากออกมาข้างหนึ่งกัดไว้อยู่ในปาก แล้วแทะด้วยแรงที่แข็งแกร่ง ทั้งยังเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ
“ยังคงเป็นน้องสาวที่ดีกับข้าที่สุด!”
ดูเขากินอย่างร่าเริงและเบิกบานใจ คังเสว่มี่เอามือข้างหนึ่งกดลงไปบนกล่อง หรี่ตานํามาซึ่งแสงระยิบระยับ แล้วเอ่ยออกมาเน้นคําต่อคํา
“คังวี่จิ่น เจ้ากินพะโล้ขาหมูที่ข้าซื้อมาให้เจ้า อีกทั้งข้ายังไปเข้าเรียนที่โก๋วจื่อเจี้ยนก็เพื่อเจ้า ถ้าหากว่าปีนี้เจ้ายังสอบไม่ผ่าน ข้าอยากให้เจ้ารับรู้ไว้ว่า ข้าจะไม่ทําเพียงแค่โยนเจ้าลงบนพื้นเท่านั้นแน่!”
คังวี่จิ่นหยุดการเคลื่อนไหวนิ่งไปในทันที ขาหมูที่คาบอยู่ในปากหอมอบอวลด้วยซอส เขากระพริบตาปริบๆแล้วบ่นอู้อี้
“ค่าตอบแทนของขาหมูชิ้นนี้สูงเกินไปแล้วเถอะ! ”
เมื่อเห็นคังเสว่มี่ กลับคำพูดกระทันหันอีกทั้งยังตัดสินใจ จะไปเข้าเรียนที่โก๋วจื่อเจี้ยนเพื่อคังวี่จิ่น ตาของจื้อี้ยกขึ้นเล็กน้อย ทั้งสองคนหัวเราะหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
ระหว่างคิ้วและตาของคังเสว่มี่แฝงรอยยิ้มเล็กๆไว้อยู่ ดูเหมือนกับดวงอาทิตย์สีทองสาดมาที่กลีบดอกไม้ เปล่งแสงเจิดจ้าสว่างไสวออกมา
ดวงตาของเขาที่คล้ายกับหยก มีรอยยิ้มที่ไม่สะทก สะท้านปรากฎขึ้นมา
ความสัมพันธ์ของสาวน้อยคนนี้กับคังวี่จิ่น ดูเหมือนว่าจะดีเลยทีเดียว
ท่านอ๋องคังมองดูลูกชายที่กำลังแทะขาหมู อีกทั้งยังมองไปดูจี้อี้ที่กำลังนั่งจิบชาอย่างช้าๆ แล้วแอบถอนหายใจอย่างเบาๆ
ใยบุตรชายของตำหนักอ๋องจี้ กับบุตรชายของตน ช่างแตกต่างกันยิ่งนัก!
คิดถึงครั้งนั้น เมื่อตอนที่เขาอยู่ในสนามรบ เขาทั้งสง่ากล้าหาญมีความสามารถเหนือกว่าท่านอ๋องจี้ หลายเท่า แม้แต่พระชายา ก็สวยงดงามกว่าของท่านอ๋องจี้.....
แต่ว่าไม่เป็นไร บัดนี้คังวี่จิ่นและคังเสว่มี่ทั้งคู่ตกลงจะไปเรียนที่โก๋วจื่อเจี้ยนแล้ว เมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว
ท่านอ๋องคังพึงพอใจยิ่งนักและในเวลานี้ก็พบว่ามันสาย เกินไปแล้ว จึงพูดกับอาชี
“ให้คนใช้นําอาหารกลางวันขึ้นมาเสิร์ฟได้แล้ว จี้ซื่อจื่อ เชิญมาที่โถงบุปผาเพื่อรับประทานอาหารเถิด"
จี้อี้ยืนขึ้นอย่างช้าๆ ทั้งสองคนเดินตามท่านอ๋องคังเดินไปข้างหน้า
คังเสว่มี่เอานิ้วทั้งสองคีบขาหมูตุ๋นคังวี่จิ่นไม่ยอมปล่อย มือ และเดินตามหลังเข้าไปในโถงบุปผาพร้อมกัน
คนรับใช้รวดเร็วยิ่งนัก ไม่ถึงหนึ่งเค่อบนโต๊ะก็จัดเรียงไปด้วยอาหารอร่อยเต็มไปหมด
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่คังวี่จิ่นและคังเสว่มี่รับประทาน อาหารด้วยกัน
ในวันธรรมดานางมักจะนั่งกินคนเดียวอยู่ที่ในลานบ้าน
ถึงแม้จะเป็นเยี่ยงนั้น นางก็รู้สึกว่ามันฟุ่มเฟือยมากพอแล้ว เมื่อเห็นกับข้าวทั้งหมดบนโต๊ะนี้ นางถึงมารู้ว่า ตนเองเป็นคนบ้านนอกชนบทที่แท้จริง
อาหารจานแรกคือปลิงทะเลตุ๋นเอ็นหมู ซุปปูหูฉลาม และไม่ต้องพูดถึงเมนูหลังซุปกึ๋นห่าน ปลาเสือนึ่ง ผัดเผ็ดท้องหมู เส้นเอ็นกวางเคี่ยวในหม้อตุ๋น ผัดไก่ใส่หูหนูขาวและอื่นๆ
ในฐานะที่เป็นคนยุคปัจจุบันคนหนึ่ง ก็ยังเป็นคนสมัยใหม่คนหนึ่งที่รักในการกิน เมื่อเห็นอาหารคาวเยี่ยงนี้ จะอดทนไม่ลงมือกินได้เยี่ยงไร
ท่านอ๋องคังเอ่ยเริ่มลงมือ คังวี่จิ่นที่ต้องหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดมาหกเจ็ดวันแล้วทั้งสองคนหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
แล้วก็เริ่มลงมือลิ้มลองอาหารอร่อยๆจานต่างๆ
จี้อี้จ้องมองดูพวกเขาทั้งคู่ แล้วรับตะเกียบตามคําเชิญจากท่านอ๋องคัง พร้อมรับประทานอาหารพร้อมกัน
ในเวลานี้ท่านอ๋องคังอารมณ์ดียิ่งนัก ทั้งรับประทานอาหารไปทั้งพูดคุยกับจี้อี้ไปด้วย
ท่านอ๋องคังในอดีตเป็นผู้บัญชาการทหาร แม้ว่าวันนี้จะเป็นเพียงขุนนางในราชสำนัก
แต่สิ่งที่ชอบพูดถึงมากที่สุดในตอนสนทนาก็ยังคงเป็นเรื่องในสนามรบ
นำทัพรุกฆาต บุกโจมตีตะลุยแนวข้าศึก สร้างค่ายกลให้ขวัญกำลังใจทหาร
จี้อี้สามารถพูดจาฉะฉานมีหลักมีฐานกับท่านอ๋องคังได้ ในทุกรูปแบบ
ถ้าหากรู้ว่าเขาไม่เคยไปผ่านสนามรบด้วยกันกับท่านอ๋องคัง
เช่นนั้นท่าทีเวลานี้ของเขาก็เหมือนกับว่ากำลังเห็นแม่ทัพสองนายที่แยกจากกันมา นานกำลังพูดคุยถึงเรื่องในอดีต
ท่านอ๋องคังยิ่งมีความสุขมากยิ่งขึ้น จิบเหล้าเล็กน้อยแล้วเอ่ย
“น่าเสียดายที่ตอนนี้ข้าบาดเจ็บ มิอาจไปสนามรบได้อีกต่อไป
ตอนนี้ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งที่ไม่ได้ใช้งานอยู่เพียง
แค่ในราชสํานัก มีบางครั้งที่ข้ายังคงฝันถึงเรื่องราวในอดีต"
จี้อี้กินของที่อยู่ในปากลงไปอย่างสง่า แล้วจึงค่อยๆพูดอย่างช้าๆ
“อยู่ในราชสำนักเป็นข้าราชการ ผู้บัญชาการทหาร ข้าราชการทหารท่านอ๋องล้วนแต่สามารถปฏิบัติหน้าที่ ได้เป็นอย่างดียิ่ง นี่เป็นสิ่งที่ดีมากแล้ว”
คำพูดนี้ฟังดูรื่นหู ท่านอ๋องคังโบกมือแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ได้เก่งถึงเพียงนั้นหรอก แต่ทั้งหมดเป็นความเมตตาจากฝ่าบาททั้งนั้น
แต่ว่า พูดมาถึงตรงนี้ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้จะต้องไปออกตรวจตราที่ ชานเมืองหลายวัน ข้าไม่สามารถคอยติดตามเป็นเพื่อนคังเสว่มี่ ไปรายงานตัวที่โก๋วจื่อเจี้ยนได้
ไม่ทราบว่าจี้ชื่อจื่อพอมีเวลาว่างหรือไม่? "
เมื่อได้ยินเชื่อของตนเอง คังเสว่มี่ก็เงยหน้าขึ้นจากอาหารอันโอชะ ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ลงทะเบียนไม่จําเป็นต้องให้คนคอยติดตามไปเป็นเพื่อน ข้าไปด้วยตัวข้าเองได้”ท่านอ๋องคังเห็นนางท่าทางที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ จึงพูดอธิบายกับนาง“โก๋วจื่อเจี้ยนเปิดเรียนไปนานแล้ว ตอนนี้เจ้าเป็นนักเรียนที่ย้ายเข้าไปกลางคันถ้าหากไม่มีคนที่มีตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ในราชสำนักไปกับเจ้า โก๋วจื่อเจี้ยนจะไม่รับนักเรียนที่แทรกชั้นเข้าไป "คังวี่จิ่นก็เงยหน้าขึ้นมาพูดเช่นเดียวกัน “เช่นนั้นข้าก็สามารถไปเป็นเพื่อนเสว่มี่ได้!” เขามีบรรดาศักดิ์เป็นซื่อจื่อของราชสำนัก มีคุณสมบัตินี้ท่านอ๋องคังเห็นท่าทางของเขาที่กินมูมมามจนปากมันเยิ้มทันใดนั้นก็จ้องเขม็งไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่าน ของผู้ที่ตนหวังไว้ แล้วเอ่ย “อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี ไปโก๋วจื่อเจี้ยนต้องนั่งรถม้า เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่าวันข้างหน้ายังจะสามารถเดินได้ หรือไม่?หลายวันนี้ก็อยู่บ้านพักผ่อนรักษาแผลให้ดี ไม่อนุญาตให้ไปที่ใด ข้าจะให้อาชีคอยเฝ้าประตูไว้เป็นอย่างดีถ้าหากว่าเจ้ายังจะออกไป ข้าก็จะให้คนมาหักขาของเจ้าซะ!"
copy right hot novel pub