บทที่ 475 จุดอ่อน
เมื่อถูกพูดจาเยาะเย้ยใส่จากสายปริศนา ไฟโทสะที่ตอนแรกกำลังจะพุ่งถึงขีดสุดตอนนี้ก็ลุกโชนราวกับถูกจุดประกายไฟ ไม่สามารถข่มมันเอาไว้ได้อีกต่อไป
รอจนกระทั่งสงบสติอารมณ์ได้ ถึงได้เริ่มไตร่ตรองถึงปัญหาข้ออื่นๆ
อย่างเช่น พวกเขาปิดข่าวเอาไว้เพื่อที่จะเบี่ยงเบนความสนใจคนของฉูเจ๋อหยางแล้วแท้ๆ ซึ่งนอกจากจางซานกับหลี่ซื่อแล้ว ก็เป็นพวกลูกน้องที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาที่รู้เรื่องนี้ อีกอย่างคนที่รู้ก็มีน้อยมากๆ แล้วฉูเจ๋อหยางรู้ได้ยังไง?
ทันใดนั้นคำว่าหนอนบ่อนไส้ก็แล่นแวบเข้ามาในหัว
เสิ่นลั่งกัดฟันกรอด อย่าให้เขารู้นะว่ามันเป็นใคร!
บนรถ ฉูเจ๋อหยางเปิดดูสมุดเล่มเล็กที่ถืออยู่ในมือ พร้อมทั้งแสยะยิ้มเย็นไปด้วย
“ฟู่ว จัดการง่ายกว่าที่คิด ในที่สุดก็ได้พักสักที” เฉียวเจิ้นหลีกางแขนออกอย่างโล่งๆ แล้วเอนกายไปข้างหลังหน่อยๆ
ฉูเจ๋อหยางหรี่ตา “นี่มันแค่เริ่มต้นต่างหาก!”
“หืม?” เฉียวเจิ้นหลียืดตัวตรงขึ้นมาในทันที
ฉูเจ๋อหยางโยนสิ่งของที่ถืออยู่ในมือไปให้เขา “สิ่งนี้มันยังไม่เพียงพอที่จะกระชากหนานเทียนหยางลงมาได้หรอก”
ของพวกนี้จางซานคงไม่ได้อ่านดูให้ดีๆ ซึ่งรายละเอียดยิบย่อยที่ถูกบันทึกลงในสมุดเล่มนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องไม่ดีที่หนานเทียนหยางทำเอาไว้ในช่วงที่กุมอำนาจอยู่ก็จริง แต่เรื่องเหล่านั้นก็ถูกปิดเงียบหมดแล้ว
ตอนนี้ต่อให้นำเอาเรื่องพวกนี้ออกไปเปิดเผย ก็ไม่สามารถเอามาเป็นหลักฐานมัดตัวได้ หรือต่อให้เริ่มสืบจากบางแหล่ง ก็กลัวว่าอาจจะได้ข้อมูลมาแบบขาดตกบกพร่องไม่ครบถ้วน
ซึ่งโทษหนักสุดของหนานเทียนหยางก็คงแค่ถูกพักงานไปช่วงหนึ่งเท่านั้น
“ดังนั้นก็แปลว่า ที่พวกเราเสียเวลาไปตั้งเยอะ แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คือของที่ไม่สำคัญพวกนี้น่ะหรอ? “เฉียวเจิ้นหลีเปิดสมุดเล่มเล็ก แล้วถลึงตามองสมุดในมือ
ฉูเจ๋อหยางหรี่ตาลง นัยน์ตาดำขลับกวาดมองหน้าปกของสมุดเล่มนั้น
ในหัวเริ่มประมวลผลอย่างรวดเร็ว
“นายไปจัดการเรื่องถ่ายโอนสินค้า ส่วนลิ่วเอ่อร์ให้คนของเราคุมเอาไว้โดยเฉพาะ แล้วล้วงถามมันมาให้ได้ว่าของอีกชิ้นของหนานเทียนหยางที่มันหาเจออยู่ที่ไหนกันแน่” ฉูเจ๋อหยางกดเสียงหนัก
“
“ยังมีอีกหรอ?” ถังฉีตงที่เงียบมาตลอดลืมตาขึ้นมา พร้อมทั้งมองมาอย่างแปลกใจ
ฉูเจ๋อหยางลูบคางเบาๆ “เต็มสิบไม่แปดก็เก้า”
“แล้วตอนนี้เอาไง ปล่อยหนานเทียนหยางไปทั้งอย่างนี้ แล้วก็ปล่อยให้เขาดำรงตำแหน่งต่อไปงั้นหรอ? “ถังฉีตงเอ่ยถาม
ฉูเจ๋อหยางส่ายหน้า “ตอนนี้ไปสถานีตำรวจก่อน”
ปล่อยเขาไป?
จะเป็นไปได้ยังไง!
กว่าจะหาคนคุ้มกะลาหัวตระกูลเสิ่นเจอก็ไม่ใช่ง่ายๆ ถ้าหากไม่ถอนทั้งรากทั้งโคน ถึงจะโค่นตระกูลเสิ่นล้มได้ ยังไงสักวันตระกูลเสิ่นก็คงกลับมาผงาดอีกครั้งอยู่ดี
ที่เขาต้องการล้ม แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้มีแค่เสิ่นลั่ง
ครึ่งชั่วโมงให้หลัง ณ สถานีตำรวจ ฉูเจ๋อหยางกำลังจะจากไปด้วยใบหน้ามึนตึง
เบื้องหลังคืออธิบดีสถานีตำรวจที่กำลังยิ้มแหยๆ เขายกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบริเวณหน้าผาก หัวใจก็เอาแต่เต้นกระหน่ำ
เป็นเรื่องที่บาดหมางกันเอง แต่คนที่ไม่รู้เรื่องดันโดนหางเลขไปด้วย เขามันก็แค่อธิบดีตัวเล็กๆ จะกล้าไปลองดีกับคนใหญ่คนโตพวกนั้นได้ยังไงเล่า
“อาเจ๋อ? คุณมาที่นี่ได้ยังไง?” หนานเทียนหยางออกหน้ารับด้วยสีหน้าหม่นแสง ตอนที่เห็นฉูเจ๋อหยางสติถึงกับกระเจิงไปชั่วครู่ เหมือนจะตกใจเอามากๆ
ฉูเจ๋อหยางแสยะยิ้มมุมปาก หรี่ตามองหนานเทียนหยาง
หนานเทียนหยางมองมาด้วยนัยน์ตาแสนเศร้า “คุณมาพอดีเลย ตอนแรกผมก็ว่าจะปิดคุณต่อไป แต่พอตอนนี้ลองคิดดูแล้ว บอกให้คุณรู้คงดีกว่า เสี่ยวฉิง...เสี่ยวฉิงหายตัวไป”
ฉูเจ๋อหยาง “งั้นคุณลุงก็รีบไปแจ้งความสิครับ อย่าเสียเวลามาขอให้ช่วยเหลือเลย”
“คุณ......” หนานเทียนหยางขมวดคิ้ว “อาเจ๋อ ลุงรู้นะว่าคุณกับเสี่ยวฉิงกำลังเข้าใจผิดกัน แต่ถึงยังไงพวกคุณก็คุยกันถึงเรื่องแต่งงานแล้ว และเสี่ยวฉิงก็เป็นคู่หมั้นของคุณ คุณทำแบบนี้มันจะไม่ไร้หัวใจไปหน่อยหรอ? หลายวันมานี้เธอเอาแต่คิดถึงคุณ ถึงขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับ!”
“คุณลุงเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ ในฐานะเพื่อนมนุษย์ผมเองก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกันที่มีเรื่องเกิดขึ้นกับหนานฉิง แต่ว่าผมมันก็แค่ทนายที่ไม่ได้มีกำลังอะไรมาก คงไม่สามารถช่วยได้เท่าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเขาช่วยได้หรอกครับ ผมว่าคุณลุงแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจคงจะสะดวกกว่านะครับ” ฉูเจ๋อหยางยิ้มตอบกลับบางๆ จากนั้นก็หมุนตัวเดินผละไป
หนานเทียนหยางมองแผ่นหลังของเขาด้วยสายตาฝ้าฟางแต่ทว่ากลับเป็นประกายทรงพลัง จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
เด็กเมื่อวานซืน คิดจะมาประลองกับเขางั้นหรอ ยังห่างชั้นกันเยอะ!
เมื่อขึ้นมาบนรถ ทั้งสามคนก็เงียบลงถนัดตา
นานพอสมควร จนถังฉีตงเริ่มชกรถอย่างเดือดดาล “แม่งเอ้ย ไอ้แก่นี่หน้าไม่อายจริงๆ เราทนเหนื่อยมาตั้งนานกลับกลายเป็นว่าป้อนอาหารเข้าปากไอ้แก่นี่หมด ไอ้แก่ก็ไม่กลัวอิ่มตายเอาซะเลย!”
“เหอะ จะว่าไปไอ้แก่นี้ก็เร็วดีเหมือนกันนะ ข่าวจากทางเรายังไม่ได้ส่งต่อออกไปเลย เขาก็แจ้งความไปก่อนล่วงหน้าทั้งยังเล่นงานตระกูลเสิ่นได้ก่อนเราอีกด้วย ทำเหมือนพวกเราเป็นคนที่คอยเก็บเศษขยะตามหลัง ส่วนเขาก็คือผู้คอยสังเกตการณ์อยู่เบื้องหลังไปได้ หน้าด้านหน้าทนจนน่าโมโห!” เฉียวเจิ้นหลีเข่นเคี้ยวเขี้ยวฟัน
เมื่อครู่ได้รับข่าวจากทางสถานีตำรวจว่า หนานเทียนหยางนำเอาหลักฐานการติดต่อทางธุรกิจของเสิ่นลั่งกับว่านต้าเผิงส่งมอบให้กับทางตำรวจก่อนพวกเขาแล้ว ทั้งยังสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองไม่มีความเกี่ยวข้อง โดยการให้คนสืบสวนตระกูลเสิ่นเอาไว้ตั้งแต่แรกๆ
หนานเทียนหยางยอมเสียผลประโยชน์บางอย่างเพื่อรักษาผลประโยชน์ที่สำคัญกว่าเอาไว้เพื่อไม่ให้มันชัดเจนจนเกินไปว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้อง
น่าเสียดายที่ต่อให้จะมีคนมองเรื่องราวสลับซับซ้อนนี้ออก ก็ไม่สามารถพูดมันออกมาได้
เพราะไม่มีหลักฐาน
ซึ่งหลักฐานที่ได้มาจากลิ่วเอ่อร์ มันก็ไม่เพียงพอที่จะเอาผิดเขาได้เลยซักนิด อาจจะถึงกับกลายเป็นหาเรื่องให้ตัวเองแทน
ครั้งนี้ถือว่าพวกเขาแพ้ราบคาบ แพ้ให้กับจิ้งจอกแก่อย่างหนานเทียนหยาง!
“ฉันบอกแล้วว่าไอ้แก่นี่รอบคอบ เป็นไปได้ยังไงที่จะใจกล้าช่วยนักโทษหนีคดีออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะจะเก็บลิ่วเอ่อร์ไว้กับตัวเพื่อเล่นงานเสิ่นลั่งให้ตาย ร้ายกาจจริงๆ!”
ฉูเจ๋อหยางกะพริบตาจากนั้นก็ถามว่า “ตอนนี้หนานฉิงอยู่ที่ไหน?”
ถังฉีตงชะงักไปนิด ต่อมาก็รีบพูดอย่างรวดเร็วว่า “อยู่กับเพื่อนคนหนึ่งของลิ่วเอ่อร์ ชื่ออาลี่ ว่ากันว่าเป็นเพื่อนที่เคยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับลิ่วเอ่อร์มาก่อน ลิ่วเอ่อร์พาหนานฉิงไปที่นั่น น่าจะวางแผนไว้ว่าหลังจากที่มันหนีไปได้ คงให้เพื่อนมันทำร้ายหนานฉิงเพื่อที่จะทำให้นายเจ็บปวด”
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็นหนานฉิงหรือหนานเทียนหยาง มักจะสร้างสถานการณ์ให้ลิ่วเอ่อร์คิดว่า ฉูเจ๋อหยางรักหนานฉิงมาก
“ส่งคนไปดู แล้วก็สืบเรื่องของอาลี่มาด้วย” เหมือนฉูเจ๋อหยางจะคิดอะไรบางอย่างได้ แต่ก็ยังจับประเด็นอะไรไม่ได้ ลูกสาวทั้งคน หนานเทียนหยางจะยอมปล่อยให้เธอเสี่ยงไปโดยไม่กังวลสักนิดเลยน่ะหรอ? ไม่! มันมีอะไรทะแม่งๆ ถ้าอาลี่ไม่ใช่คนของหนานเทียนหยาง แต่เขาแค่อยากจะช่วยลิ่วเอ่อร์จริงๆล่ะ? รู้ทั้งรู้ว่าลิ่วเอ่อร์จะหนีไปพร้อมกับเงินก้อนใหญ่ แต่ตัวเองกลับต้องใช้ชีวิตเหมือนหนูในรูอยู่ที่นี่ต่อไปเนี่ยนะ? ดวงตาของฉูเจ๋อหยางสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นดุดันในทันที “กลับบ้าน!” เฉียวเจิ้นหลีที่เป็นสารถีแปลกใจกับสีหน้าของเขา จากนั้นก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีแปลกๆ เขาวนรถกลับ แล้วขับมุ่งตรงไปยังคฤหาสน์ด้วยระดับความเร็วเท่ากันกับนักแข่งรถ เพื่อย่นเวลาเดินทางจากในเมืองจากเวลาปกติได้เป็นเท่าหนึ่ง ใจของฉูเจ๋อหยางเต้นอย่างบ้าคลั่ง ถ้าไม่เห็นกับตาว่าเป้ยฉ่ายเวยยังอยู่สาบานเลยว่าเขาจะไม่หยุด “อาเจ๋อ ฉันว่าไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นที่คฤหาสน์นะ เจี่ยงเสี่ยวเล่อเฝ้าดูอยู่ อีกอย่างคนอยู่ที่นั่นก็เยอะแยะ” ถังฉีตงเห็นแบบนั้น ถึงจะพูดให้อีกฝ่ายใจเย็นลงแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากอย่างเครียดๆ ไม่มีใครเข้าใจความคิดของฉูเจ๋อหยางในเวลานี้ไปมากกว่าเขาหรอกคนที่อยู่คฤหาสน์คือจุดอ่อนของเขา ถ้าหากมีเรื่องเหนือความคาดหมายใดๆเกิดขึ้น ก็ไม่สามารถรับประกันได้เลยว่าเขาจะยังใจเย็นอยู่ได้เหมือนตอนนี้ไหม
copy right hot novel pub