หวางเฉียนถูกพาตัวออกไปพักใหญ่แล้ว แต่รอบบริเวณห้องพักผ่อน ยังคงเงียบสงัด
เสียงแผดร้องเหมือนถูกปาดฉีกหัวใจขาดแหลกก่อนจะออกพ้นไปนั้น ติดตรึงฝังลึกในสมองทรงจำของทุกคน
คนที่น่าเจ็บแค้นก็ยังคงมีส่วนที่น่าสงสารอยู่
ที่คนกล่าวกันไว้คงหมายถึงแบบนี้กระมัง
จากนั้น เจี่ยงหยูเหลียงกับซุนหงเจี๋ยก็ถูกพาตัวออกไป
ตอนพาตัวออกไป บนใบหน้าพวกเขาออกอาการขวัญหนีดีฝ่อ เหมือนวิญญานไม่ได้อยู่กับตัว
ไม่ยากที่จะคาดเดาได้เลยว่า ที่รอพวกเขาอยู่คือ โทษในคดีด้านเศรษฐกิจที่โหดเหี้ยมสุด ๆ
“ไม่ถูกแล้วสิ!”
ทันใดนั้น นักเรียนเก่าคนหนึ่งยืนออกมาอย่างตื่นตระหนก “พวกมันถูกเอาตัวไปแล้ว แล้วเงินพวกเราหละ แบบนี้ก็หมดหวังจะได้คืนแล้วสิ ?”
“นั่นสิ นี่มันเงินที่พวกเราต่างเก็บรวบรวมเก็บกันมาทั้งครึ่งชีวิตเลยนะ”
“ที่บ้านฉันยังมีแม่ที่กำลังป่วยอยู่ด้วย ขาดเงินก้อนนี้ไม่ได้เลย !”
“……”
กลุ่มเพื่อนนักเรียนเก่าเหล่านั้นต่างหน้าซีดร้องกันโวยวาย อารมณ์อยู่ที่สิ้นหวังกัน
สิ่งที่พวกเขาต้องการคือตามเงินของพวกเขากลับคืน เจี่ยงหยูเหลียงกับซุนหงเจี๋ยพวกเขาจะโดนจับยังไง มันไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาต้องสนใจเลย
คนที่เป็นผู้นำของทางการหันกลับมามองพวกเขา “ถ้าจะพูดให้เป็นทางการแล้ว พวกคุณก็อยู่ในข่ายผู้มีความผิดทั้งนั้น ต้องถูกจับดำเนินคดีด้วย แต่เห็นแก่ว่าพวกคุณก็เป็นผู้เสียหาย จึงได้ละเว้นให้ รู้ตัวไว้เสียบ้าง”
คนผู้ชายนั้นวางตัวดูเฉียบขาด ชั่วพริบตาเดียวก็สยบอารมณ์หุนหันไม่พอใจของเหล่าศิษย์เก่า
พวกเขาได้แต่หันมองหน้ากันเหรอหรา ไม่กล้าปริปากพูดอีกแม้แต่คำเดียว
หลินชิงเสว่ถอนหายใจ ยืนขึ้นพูดกับเจ้าหน้าที่ทางการนั้นว่า “พวกเขาก็เพียงหลงไปเชื่อ จึงถูกหลอกเสียเงินไป ครั้งนี้ขอยกเป็นกรณีพิเศษขอเงินคืนให้พวกเขาไปเถอะ”
หยุดพักหนึ่ง หลินชิงเสว่ก็พูดต่อว่า “ในบัญชีของบริษัทลอตตารีอินหวง น่าจะต้องมีเงินที่พวกเขาเพิ่งโอนเข้าไป ที่ยังไม่ได้โอนออกเมืองนอก น่าจะติดตามทวงคืนมาได้”
หลังหลินชิงเสว่ได้พูดออกไปจบ ไม่มีอะไรต้องสงสัย มันเป็นการช่วยชีวิตกันเลยก็ว่าได้ กลุ่มเพื่อนนักเรียนเก่าเหล่านั้นให้รู้สึกขอบคุณจนพูดอะไรกันไม่ถูก เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดีจริง ๆ
“คุณชิงเสว่จ๋า ตอนนี้เองที่เราได้รู้สึก คุณคือคนที่มีจิตใจประเสริฐสุด ๆ พวกเราสำนึกผิดแล้ว ตอนนี้ขอกล่าวขอการอภัยด้วย”
พวกเขาแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยความละอายแก่ใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงตอนที่ก่อนหน้านี้มีการประชดประชันหลินชิงเสว่ พวกเขายิ่งให้รู้สึกอายจนอยากหาช่องร้าวบนพื้นเพื่อแทรกหน้าหนี
หลินชิงเสว่ถอนหายใจ พูดว่า “พวกเธอไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ฉันเพียงแต่คิดอยากจะบอกพวกเธอให้เข้าใจไว้ว่า ใต้ฟ้านี้ไม่มีเรื่องจริงที่ว่าจะมีซาลาเปาใส่ไส้ร่วงลงมาให้หรอกนะ พวกเธอคงมีแต่เห็นมีคนที่ว่าฟลุ๊คโชคดีรวยบ้าขึ้นมาในวันเดียว แต่ไม่เคยหันไปมองว่ายังมีอีกนับพันครอบครัวที่บ้านแตกสาแหรกขาดอย่างน่าสงสาร”
บรรดากลุ่มเพื่อนศิษย์เก่าเหล่านั้น ล้วนไม่มีอะไรจะพูด เวลานี้ได้แต่คิดละอายในใจอย่างสุดซึ้ง
ถังเฉามองเห็นเต็มในสายตา เพื่อนศิษย์เก่าเหล่านี้ใจจริงไม่ได้เลวร้าย แต่เพียงคิดเอาแต่ได้แบบไม่ต้องเหนื่อย
เจ้าหน้าที่จากทางการลังเลอยู่พักหนึ่ง “เรื่องนี้ ผมคงไม่สามารถสรุปผลให้ได้”
ว่ากันตามข้อเท็จจริงแล้ว การยึดทรัพย์สินของบริษัท ก็ต้องเป็นการโอนเข้าส่วนกลาง
ทันใดนั้น ถังเฉาได้เอ่ยปากพูด “เอาเงินนั้นออกมาคืนให้พวกเขาไปเลย บอกว่าท่านบ้าบู๊เป็นคนสั่ง”
เจ้าหน้าที่ทางการได้ยินดังนั้น มองหน้าถังเฉาอย่างกังขา
แต่แล้วเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาน้อมคำนับถังเฉา “ได้ขอรับ กวนใจท่านไปแล้ว”
หลังจากนั้น เพื่อนศิษย์เก่าเหล่านั้น ต่างได้รับเงินคืน ไม่มีขาดแม้แดงเดียว
พวกเขาหันไปหาหลินชิงเสว่อีกครั้ง เพื่อแสดงความขอบคุณ แต่หลินชิงเสว่เป็นคนไม่ชอบรูปแบบประเภทนี้ เดินเลี่ยงหนีออกไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
ขณะนี้เอง บนเวทีประลองแว่วเสียงผู้ดำเนินรายการมา “ขอให้สองท่านผู้เข้ารอบสุดท้ายเตรียมพร้อม”
ครืน!
บรรยากาศฮึกเหิมในสนามกีฬากลับสู่ไฮเวฟอีกครั้ง
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าใครเป็นผู้เข้าชิงในรอบตัดเชือกนี้
เจ้ามังกรกับ หลินรั่วหวีตระกูลหลิน
ในช่วงขณะที่การแข่งขันประลองยุทธระหว่างถังเฉากับมู่เจียงกำลังดำเนินอยู่นั้น อีกด้านหนึ่งในการประลองแข่งขัน หลินนรั่วหวีได้ใช้ฝีมือแบบไวเป็นฟ้าผ่าส่งความพ่ายแพ้ให้นักบู๊ตระกูลลั่ว
“อีกประเดี๋ยวคุณพ่อคุณก็จะขึ้นเวทีแล้ว คุณไม่ไปดูหรือ ?”
ขณะเดินไปส่งหลินชิงเสว่กลับไปอัฒจรรย์ที่นั่ง ถังเฉาถามหลินชิงเสว่ด้วยเสียงหัวเราะ
หลินชิงเสว่นิ่งขรึมครุ่นคิดพักหนึ่ง เริ่มด้วยการผงกหัว ตามด้วยส่ายหน้า ให้เห็นถึงความขัดแย้งในใจ
“ตกลงจะดูหรือไม่ดูกันแน่ ?”
ถังเฉาถาม
“ดูแล้วกัน”
หลินชิงเสว่ยืนยันในตอนสุดท้าย “ฉันไม่อยากให้เขาชนะ”
“เพราะอะไรหละ ?”
ถังเฉาค่อนข้างแปลกใจ
“เพราะฉันไม่อยากเห็นเขาก้าวสูงขึ้นไปอีก”
หลินชิงเสว่ทอดถอนหายใจ พูดว่า “ตัวที่เรียกว่าอำนาจนี่ มันสามารถค่อย ๆ กัดกร่อนส่วนลึกของจิตใจคน ก่อนหน้านี้เขารักหวงบ้านมาก เป็นคนอ่อนโยนละมุนเมียด แต่เดี๋ยวนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป”
“เวลานี้เขาเรียงลำดับไปเป็นถึงผู้นำแห่งเก้าตระกูลหลวงแล้ว หากแม้นว่าเขาได้เป็นที่หนึ่งของประชุมแดนเหนือในเที่ยวนี้ ก็จะเป็นผู้พิทักษ์แดนเหนือคนใหม่ ถึงเวลานั้นแล้วเขาจะเปลี่ยนนิสัยไปเป็นแบบไหน ฉันคิดยังไม่ออกเลย”
“อาจเป็นได้ว่า แม้แต่คุณแม่ ก็คงข่มเขาไม่ลง”
หลินชิงเสว่แหงนหน้าเล็กน้อย มองไปยังดวงอาทิตย์ที่ค่อนข้างร้อนแรง พูดว่า
ดวงอาทิตย์วันนี้ร้อนแรงมาก แต่เมฆครึ้มดำยังคงมีอยู่ มีเมฆดำที่คอยสลับบัง อุณหภูมิก็ไม่ถึงขั้นแผดร้อน ตรงกันข้าม แสงอาทิตย์ก็ยังดูอ่อนนวลลง
ถังเฉาเลยจึงขรึมเงียบไม่มีอะไรจะพูด
ท่านผู้เฒ่าพ่อตาของเขาท่านนั้น ไม่ได้โหดร้ายเหมือนดั่งเช่นโจวเหม่ยหยูน ที่จ้องหมายจะให้ที่ตายกับหลินชิงเสว่
เขาเพียงแต่รู้สึกเป็นว่า มีเพียงต้องเป็นคนเหนือคน จึงมีขีดจำกัดสูงสุดในการปกป้องครอบครัวของตัวเองได้
นี้ก็เป็นอุดมคติในใจที่เหมือนกันกับถังเฉา
เขากับพ่อตาเฒ่าจะต้องเป็นศัตรูกัน แต่ทั้งสองต่างไม่เคืองแค้นกัน คงมีแต่ความชื่นชมที่เป็นยิ่งกว่านั้น
“เขาจะไม่ได้เป็นที่หนึ่งหรอก”
เหมือนเป็นการให้คำตอบหลินชิงเสว่ ถังเฉาพูดพึมพำ
พูดจบ ถังเฉาก็เดินจากไป
ครั้งนี้ หลินชิงเสว่ไม่ได้รั้งเขาไว้ เพียงแต่ยืนเหม่อมองเงาหลังของเขาจากไป
ความจริงเรื่องเซ้นท์ที่หกของผู้หญิงนี่มักจะเป็นจริง ในบางเรื่องของคำตอบ มันมีคำตอบที่อยู่ในใจแล้ว
แต่ หลินชิงเสว่ก็ไม่ปิดกั้น
ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วที่วาเลียนท์วิลล่า ลูกเขยกับพ่อตาเฒ่าคู่นี้ ก็ได้ตกลงกันแล้วว่าจะต้องประลองกัน
ลูกผู้ชาย ก็ต้องไม่ผิดนัด
“สู้ ๆ เจ้ามังกร………”
หลินชิงเสว่เชียร์ถังเฉาอยู่ในใจ
ณ. ที่ห้องพักผ่อน ถังเฉาได้ใส่หน้ากากเข้าไปใหม่เรียบร้อย ยืนพิงที่กำแพง
“คุณนี่ช่างเหมือนใครคนหนึ่งที่ผมรู้จัก ไม่ว่าบุคลิก หรือพฤติกรรม ล้วนเหมือนเอามาก”
ทันใดนั้นเอง เสียงทุ้มนุ่มเรียบ ๆ มาจากผุู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลัง
ถังเฉาหันกลับไปมอง เห็นชายวัยกลางคนมีท่วงท่าดุจดั่งมหานทีคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลัง
เขาดูเหมือนอำพันแสงสีใสไร้แววของความเลอค่า พร้อมรองรับสรรพสิ่ง
หลินรั่วหวี พ่อตาเฒ่าของเขานั่นเอง
ถังเฉายิ้มเรียบ ๆ “ใช่มั้ง ดูออกเลยว่า ท่านชื่นชมเขามาก”
หลินรั่วหวีก็หัวเราะ “ไม่ผิด ถ้าหากเขาไม่ใช่ลูกเขยผม ผมคงต้องวางตัวเป็นผู้อาวุโส ชี้แนะเขาได้บ้าง”
คำพูดนี้หากพูดไปให้เป็นคนอื่นได้ยิน คงก่อให้เกิดเป็นเรื่องแรงดังคลื่นใหญ่เป็นแน่
การชี้แนะจากผู้นำตระกูลลิ้มหลินรั่วหวีคนนี้ นั่นไม่ใช่เรื่องที่คนหนุ่มทั่ว ๆ ไปจะได้กัน
เพียงคำพูดคำเดียวของเขา ก็เป็นไปได้ว่าสามารถนำไปใช้เป็นประโยชน์ได้ทั้งชีวิต
แต่ทว่า ถังเฉากลับอมยิ้มหน่อย ๆ “คงอาจจะเขาไม่มีความจำเป็นต้องรับการชี้แนะจากท่านก็เป็นได้ มุมมองในสายตาท่านอาจเพียงแค่แสงจรัสของอาทิตย์จันทร์ แต่มุมมองในสายตาของเขากลับเป็นกาแลคซี่อันไพศาล”
ได้ยินดังนั้น หลินรั่วหวีถึงกับอึ้ง แววตาดูสับสน
เจ้าหนุ่มคนนี้ มีวุฒิภาวะไม่ด้อยกว่าเขาเลย
แต่เพียงชั่วเวลาสั้น ๆ หลินรั่วหวีก็ย้อนอารมณ์กลับมา “ได้แต่หวัง ขอให้เขาเป็นอย่างที่คุณว่านะ”
ตูม!
พลังในทีท่าของทั้งสองคน ในช่วงพริบตานั้นเพิ่มกระแสเป็นทวีคูณ
เสียงพายุหวีดหวิว ตลบพัดฝุ่นทรายฝุ่นผง
“ขอเชิญทั้งสองท่านขึ้นเวที”
ขณะนี้เอง เสียงประกาศของพิธีกรแว่วเข้ามา
พลังในทีท่าของทั้งสองจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง กลายเป็นคนธรรมดาไม่มีต่าง
“ไปเถอะ ขึ้นเวที”
หลินรั่วหวีจ้องถังเฉายิ้มเรียบ ๆ แล้วพูด
ถังเฉาไม่พูดอะไร มุ่งหน้าที่เวทีเดินไป
เวทีประลองยุทธรอบตัดเชือกกว้างขวางอย่างมาก กว้างไปหลายวา ยาวไปหลายสิบวา
ด้วยต้องคำนึงถึงคู่ต่อสู้รอบตัดเชือก ต่างก็อยู่ในระดับไม่ธรรมดา หรือกระทั่งทาบเทียบได้กับท่านบ้าบู๊ที่อยู่บนสุด กับมู่ตงเฟิง เวทีประลองทั่ว ๆ ไปคงต้องรื้อยกใหม่
ถังเฉากับหลินรั่วหวียืนห่างกันแต่ไกล ประจันหน้ากันข้างซ้ายขวา
การปะทะกันยังไม่ทันเริ่ม บรรยากาศฆ่าฟันคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบ ๆ
ขณะนี้ เสียงหวีดหวิวจากภูผามหานที ได้ขึ้นไปถึงขั้นสุดสูง
ไม่เคยมีใครคิดถึงเลยว่า คนไม่มีชื่อเสียงเรียงนามอยู่ในทำเนียบระดับ กลับกลายขึ้นมาเป็นม้ามืด ผงาดยืนมาบนสุดของเวที
กับคนที่ยืนอยู่ตรงข้าม รู้ไหมว่าเขาเป็นตระกูลหลวงในเยี่ยนตู ผู้นำตระกูลหลิน
และในขณะเดียวกัน ฉายาที่เรียกกันว่าหลินรั่วหยูผู้ฉลาดแต่ดูโง่ ทุกคนที่อยู่ในสนามนี้ต่างเคยได้ยินมากันสิบกว่าปีแล้ว พวกเขาก็ยังเพิ่งจะรู้กันเป็นครั้งแรกว่า หลินรั่วหยูยังเป็นยอดฝีมือในการต่อสู้
ดวงตาที่สงบเรียบของลั่วเย่นหัวแห่งตระกูลลั่ว ที่สุดก็เริ่มพริ้วไหว
“ยี่สิบปีแล้วที่ไม่ได้พบ เขาเก่งกาจขึ้นมาถึงเพียงนี้เชียว.........”
ลั่วเย่นหัวพูดด้วยใจสะท้อน
ลั่วเย่นอวิ๋นที่ยืนข้าง ๆ นึกหวั่นขึ้นมาในใจ หลินรั่วหวีเก่งกาจขึ้นมาขนาดนี้ พี่สาวเราคงจะคุมเขาไม่อยู่แล้วมัง ?
บนยอดสุดของสนามกีฬา คนในชุดคลุมดำก็กำลังมองดูฉากนี้อยู่ ตบมือเบา ๆ
“สุดท้ายในการประลอง ก็เป็นสองคนคู่นี้จริง ๆ”
“เฟิ่งหวง เธอลองทายดูซิว่าเค้าทั้งสองใครจะชนะ”
คนในชุดคลุมดำหัวเราะเหอ ๆ พูดกับเฟิ่งหวง
เฟิ่งหวงนัยน์ตาทั้งคู่ดูสับสน แต่ก็พูดออกไปโดยไม่ต้องคิดเลยว่า “ เจ้ามังกร”
“ข้าทายนะ ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ ถ้าจะว่าต้องมีผู้ชนะ นั่นก็คือพวกเรางัย”
คนในชุดคลุมดำพูดเสียงหัวเราะ
ข้าง ๆ หลินโป๋หลาย เฟิ่งหวงต่างผวาขึ้นมาในใจ “ท่าน.........copy right hot novel pub