คังเสว่มี่ยกยิ้ม ดวงตาของนางพร่างพราว
" เช่นนั้นแล้วเจ้ากล้าพูดว่าแสงสีทองนั้นเป็นของปลอมอย่างนั้นหรือ?”
“เสี้ยเหอ!” ชายารองติงเอ่ยเรียก นางเกรงว่าคังเสี้ยเหอจะหลุดปากพูดเรื่องไม่ดีขึ้น เพราะนางรู้สึกเหมือนกับว่าคังเสว่มี่นั้นมีแผนจะหลอกล่อเค้นความจริงออกมา,
นางรีบลุกขึ้นเดินไปดึงมือคังเสี้ยเหอเอาไว้แต่
ใครจะไปคิดได้ว่าคังเสี้ยเหอที่กำลังเดือดดาลอยู่ ไม่ฟังนางพูดเลยสักนิด นางสะบัดมือของชายารองติงทิ้ง ใบหน้าอันเล็กๆที่งดงามอย่างนุ่มนวล
บิดเบือนจนน่ากลัวตะโกนอย่างโกรธเคืองขึ้นว่า:
“ในเลือดหมานี้ได้เพิ่มหญ้าสีทองเข้าไป เมื่อสัมผัสที่ตัวของใครมักจะเหมือนกันไปหมด!ไม่ว่าจะสาดใส่เสื้อผ้า หรือตามร่างกายมันก็จะแสดงแสงสีทองขึ้นมา!
ในตาของคังเสว่มี่เปล่งประกายเรืองแสง ผ่านไปตอนนี้ก็ไม่ต้องให้นางพูดต่อแล้วว่าข้างในเลือดหมาดำนี้เพิ่มส่วนผสมอะไรเข้าไปอีก เพราะเวลานี้คังเสี้ยเหอได้แย่งนางเปิดเผยออกมาเองหมดแล้ว
คังเสว่มี่รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ในเลือดนั้นต้องมีส่วนผสมอื่นอยู่ เพราะถ้าเสื้อผ้าที่ติดเลือดหมาสดแล้วปรากฏแสงสีทองได้นั้น คงมีแต่ในละครแล้ว
หากเลือดหมาเจ๋งอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นนางก็ก้าว ข้ามกลับไปแต่แรกแล้วสิ
อ๋องคังเอ่ยถามขึ้นเบาๆว่า
“เจ้าเพิ่มหญ้าสีทองไว้ข้างใน?”
“ใช่เจ้าค่ะ ใช่——“คังเสี้ยเหอหันหน้ามา เห็นตา ทั้งคู่ที่ลึกซึ้งของท่านอ๋องคังทันใดนั้นคำพูดที่เหลือก็ติดอยู่ในลำคอ “ท่านพ่อ...... ""
ใบหน้าที่หล่อเหลาของท่านอ๋องคังราวกับ ปกคลมด้วยทรายสีดำอยู่ชั้นหนึ่ง เขากัดฟัน
แล้วพูดว่า
“เจ้าเพิ่มหญ้าสีทองในเลือดหมานี้อย่างนั้นหรือ?”
"มะ..ไม่ใช่ข้าเพิ่ม คือนักบวชลัทธิเต๋านั้นเพิ่ม! "หลังคังเสี้ยเหอตกใจ รีบนำความผิดโยนไปให้ ตัวของนักบวชลัทธิเต๋า
ถึงแม้ชายารองติงจะเกลียดชังที่นางพูด เรื่องนี้ออกมาอย่างไม่รู้จักกาลเทศะ, แต่คัง เสี้ยเหอคือลูกสาวของนาง อย่างไรก็ต้องยืน ออกมาปกป้อง
“ท่านอ๋อง เรื่องนี้ข้ากับเสี้ยเหอล้วนไม่รู้ทั้งนั้น ต้องเป็นนักบวชลัทธิเต๋านั้นทำแน่เลย”
“ใช่หรอ?” ท่านอ๋องคังทำหน้าเยือกเย็นมองไปที่อาชีแล้วสังว่า:
“ไปนำตัวนักบวชลัทธิเต๋านั้นมาถาม มัน ตกลงเกิดอะไรขึ้น”
อาชีตอบกลับว่า “ขอรับ ท่านอ๋อง”
เมื่อก่อนอาชีคือรองขุนพลทัพหน้า ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนสุขภาพร่างกายของเขายังแข็งแรง รีบเดินไปอย่างรวดเร็ว.
หิ้วนักบวชลัทธิเต๋าที่ถูกเตะจนคลานขึ้นมาไม่ได้, โยนไปที่ข้างหน้าท่านอ๋องคัง, เอ่ยถาม อย่างเคร่งขรึม:
“พูด ในเลือดหมานี้เพิ่มหญ้าสีทอง คือเจ้า ทำเองหรือไม่?”
ถึงแม้เมื่อสักครู่นักบวชลัทธิเต๋าจะเจ็บจน คลานขึ้นมาไม่ได้ แต่บทสนทนาก็ยังได้ยิน อย่างชัดเจน
เมื่อก่อนเขาก็ไม่ใช่ไม่เคยทำเรื่องพวกนี้ เพื่อหลอกเอาเงินของผู้อื่น ช่วยผู้อื่นขจัดก้อนหินขวางทาง
ที่แรกก็แค่อยากมาฉวยเงินในตำหนักอ๋อง สักหน่อย ใครจะไปคิดว่าได้สาดทีก็สาดถึงตัวของพระราชโอรสเลย
ชายารองกับพระราชโอรสอันไหนเก่งกว่า กันเขาก็ยังรู้อยู่ ตอนนี้ชายารองกับคุณหนูใน ตำหนักนี้ก็จะโยนความผิดทั้งหมดมาที่
ตัวของเขา
จะไปยอมแบกความกล่าวหาเปล่าๆได้ที่ไหนกัน. คุกเข่าลงพื้น หน้าอันแก่ๆเต็มไปด้วยความร้องขอ
“กราบผู้สูงศักดิ์ทุกท่าน ข้าน้อยก็แค่ นักบวชลัทธิเต๋าในยุทธภพ
จะมีความกล้าใส่หญ้าสีทองในเลือดหมาเพื่อมาประทุษร้ายต่อผู้สูงศักดิ์ได้ที่ไหนกัน
สองวันที่แล้ว มีคนพาชายารองติงคนนี้มาพบข้าน้อย แล้วให้เงินข้าน้อยหนึ่งร้อยตำลึง
พร้อมกับบอกว่าคุณหนูใหญ่ในตำหนักถูกวิญญาณร้ายสิงร่าง ให้ข้าน้อยมาตำหนักเพื่อมาทำพิธี นางยังบอกข้าน้อยอีกว่า
เมื่อถึงเวลานั้นต้องให้คุณหนูใหญ่ถูกภูตผีสิงร่างให้ได้
ข้าน้อยถูกเงินทองปกปิดดวงตา รับปากไปทำเล่ห์กลอย่างจับผลัดจับผลู
ข้าน้อยก็เป็นแค่คนหลอกกินอยู่ในยุทธภพ จะกล้าไปปฏิเสธคนอย่างชายารองติงได้อย่างไร
ยังหวังว่าผู้สูงศักดิ์ทุกท่านปล่อยข้าน้อยไป
ยกโทษให้ข้าน้อยเถอะขอรับ!”
“เจ้าพูดอะไรไปเรื่อย ข้าให้เจ้าทำเรื่องแบบนี้ได้ที่ไหน! เจ้าอย่ามาพูดจาสะเปะสะปะ ระวังข้าให้คนจับเจ้าไปหยาเหมินนะ(ศาลา ว่าการ)”
ชายารองติงเห็นนักบวชลัทธิเต๋านั้น แฉเรื่องของนางออกมา ในใจแอบด่าว่าไอ้หมาแก่ นี้ไว้ใจไม่ได้เลยจริงๆ นำเรื่องออกจากปากนี่มันปิดไม่ได้เลยหรือ
ถ้าไม่ใช่ว่านางหาคนที่ไว้ใจไม่ได้ ก็ไม่ไป
หาคนเลวในยุทธภพแบบนี้มาจริงๆหรอก
สีหน้านักบวชลัทธิเต๋าเปลี่ยนไป เห็นสายตาที่หนาวเย็นของชายารองติง รู้ว่านาง กำลังคุกคามเขาอยู่
แต่ถ้าเขายังยอมรับ รวมถึงสาดเลือดหมาใส่องค์ชายแล้วก็ยังเป็นทางที่ตายอย่างเดียว
เขาก็แสดงความหน้าด้านไร้เหตุผล กัดกลับชายารองติง
“ชายารองติง หากท่านไม่ให้ข้าน้อยมาทำ เรื่องนี้ ข้าน้อยมาตำหนักอ๋องนี้ด้วยตัวเองเพื่อมาใส่ร้ายคุณหนูใหญ่ของตำหนักอ๋องอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นข้าน้อยคงไปกินหัวใจหมีดีเสือดาวมาแล้วล่ะ!”
เขาหันหน้าไปที่ท่านอ๋องคังและไป๋หลี่ เหลียนคุกเข่าคำนับ เอาหนึ่งร้อยตะลึงออก จากในอก
“ผู้สูงศักดิ์ทุกท่านสามารถดูได้ นี่ก็คือตั๋วเงินที่ ชายารองติงให้ข้าน้อย ข้าน้อยยังไม่ได้ใช้สักตะลึง เลย!”
อาชีรับตั๋วเงินหนึ่งร้อยตะลึงที่นักบวชลัทธิ เต๋าขึ้นมาตรวจสอบ ข้างบนก็คือน้ำหมึกที่ใช้ใน “กรมคลัง หย่วนต้า”บ่อยที่สุดในตำหนักอ๋อง
เขาชำเลืองตามองชายารองติงอยู่แว็บหนึ่ง นำตั๋วเงินยื่นให้ท่านอ๋องคัง
ท่านอ๋องคังก็มองกวาดไปแว็บหนึ่ง ฮึ เสียงอย่างเยือกเย็น เอาตั๋วเงินทิ้งไปที่ตรงหน้า ชายารองติง “เจ้าดูให้ดีๆ!”
หลักฐานพยันก็แน่นอนแล้ว หน้าของชายารองติงสีเลือดหายไปคังเสว่มี่ยิ้มเยาะว่า
“ที่แท้ชายารองติงยอมรับข้าไม่ได้ถึงเพียงนี้ ยังจะเปลืองเงินไปให้นักบวชลัทธิเต๋ามาสาด
เลือดหมาที่ผสมหญ้าสีทองใส่ข้า
ทำให้ชายารองติงลำบากใจจริงๆ วันๆต้องมาคิดหาพวกวิธีการ ทำร้ายคนอยู่ทุกวัน ถ้าเจ้าทนดูเขาไม่ได้จริงๆ ก็มาบอกกับข้ามา
ไม่ว่าอย่างไรในตำหนักอ๋องเจ้าก็ควบคุม ยึดครองมานานแล้ว
ข้าคือลูกสาวฝั่งภรรยาหลวงจะมีหรือไม่มี ก็ไม่แตกต่างอะไรสำหรับชายารองติงอยู่แล้วนี่!"
ได้ยินคำพูดนี้ ภายในหัวใจของท่านอ๋องคัง เจ็บเหมือนมีกรงเล็บมาสะกิด
ชายารองติงกล้าฉวยโอกาสกระทำ พฤติกรรมอย่างนี้ตอนเขาไม่อยู่บ้าน ก็ยังไม่ใช่ พึ่งพาความรักที่เขามีต่อนางมาหลายปีนี้หรือ
คาดไม่ถึงเลยว่าจะใช้วิธีที่เลวทรามอย่างนี้ เพื่อที่ขับไล่เสว่มี่ออกไป
เขายิ่งคิดยิ่งโกรธ ตบเข้าหนึ่งฝ่ามือไปที่หน้า ของชายารองติง ตะโกนขึ้นว่า
“เจ้าคุกเข่าลงให้ข้าเดี๋ยวนี้!"
ชายารองติงถูกเขาตบจนล้มกองอยู่บนพื้น จับแก้มที่แดงบวม แววตาทั้งคู่เขียนไปด้วยความตกตะลึง “ท่านอ๋อง ท่านตบข้า?”
“จะตีเจ้าด้วยแหละ!”ท่านอ๋องคังตะโกนขึ้น อย่างโกรธเคือง “เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับนักบวชลัทธิเต๋า ทำบรรยากาศของตำหนักเลวร้ายไปหมดตอนนี้ยังทำร่างที่สูงศักดิ์ขององค์ชายหกแปดเปื้อนอีก ข้าตีเจ้ายังถือว่าเบาไปด้วย”คังเสี้ยเหอเห็นท่านแม่ของตนถูกตี ร่างบางก็พุ่งเข้าไปประคองชายารองติง พึ่งความรักที่ท่านอ๋องคังมีให้ในทุกวัน จึงรู้สึกไม่พอใจแล้วตะคอกเสียงดังว่า“ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรกันแน่? หรือว่าท่านดูไม่ออกว่าคังเสว่มี่ผิดปกติอย่างนั้นหรือ? นางในเมื่อก่อนเป็นคนโง่ ปัญญาอ่อนวันๆไม่พูดไม่จา ในปากพูดได้กี่คำกันแค่เดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นสภาพแบบนี้ไม่ใช่เป็นเพราะผีสิงร่างแล้วยังมีเหตุใด!"พอได้ยินเช่นนี้เข้า ท่านอ๋องคังก็ตกตะลึง แล้วดูคังเสว่มี่ที่นอนคว่ำอยู่ที่นั่งด้านหลังนึกถึงรูปร่างหน้าตาของนางในแต่ก่อน ที่เหมือนกับร่างไร้วิญญาณ แต่ตอนนี้ลักษณะแววตาทั้งคู่ ของนางดูคล่องแคล่ว เสมือนเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้นคังเสว่มี่มองเห็นความลังเลของท่านอ๋องคังอย่างเป็นธรรมชาติ ในคราแรกนางก็พิจารณาถึงจุดนี้อยู่ก่อนแล้ว นางกลัวผู้อื่นรู้สึกว่านางเปลี่ยนไปเร็วเกินจึงพยายามทำตัวเป็นเด็กผู้หญิงที่อายุสิบสี่ ไม่ได้นำความสามารถทั้งหมดแสดงออกมามาตลอดตอนนี้ดูแล้ว ถึงแม้จะช่างพูดช่างคุยก็ช่าง กลายเป็นคนฉลาดว่องไวหน่อยก็ช่าง ล้วนจะทำให้คนอื่นเกิดความสงสัยทั้งนั้นความคิดของนางถูกต้องจริงๆ ดีนะที่นางยังไม่ได้แสดงความสามารถออกมาทั้งหมด เช่นนั้นนางคงทำให้คนอื่นๆสงสัยในตัวนางมานานแล้ว...
copy right hot novel pub