มีกลิ่นหอมอ่อนๆโชยมาพักหนึ่ง ถนนสองข้างทางปลูกต้นไม้ตั๊กแตนเต็มไปหมด
ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่ดอกฮว๋ายกำลังจะผลิบาน
บนพื้นดินปูด้วยหินปูนมีเศษเล็กๆน้อยๆสีขาวหิมะของดอกฮว๋ายร่วงหล่นลงมา
และไกลออกไปจากสายตา เผยให้เห็นชายคาสีแดงที่โค้งขึ้นแบบจีน ภายใต้ชายคานั้นก็คือโก๋วจื่อเจี้ยนที่เป็นหนึ่งไม่เป็น สองรองใคร
แผ่นป้ายที่แขวนอยู่เหนือประตูที่ดึงดูดผู้คน
นางเดินตามจี้อี้เข้าไปข้างใน และเพิ่งค้นพบว่าโก๋วจื่อเจี้ยนกว้างใหญ่กว่าที่นาง จินตนาการไว้เสียอีก ครอบคลุมพื้นที่กว่าหนึ่งร้อยไมล์
หลังจากที่เข้าไปแล้ว ก็มองเห็นต้นไม้เขียวขจีพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกไม้ เห็นศาลาเล็กๆอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง อาคารสูง และยังมีเสียงของนักเรียนที่กำลังอ่านหนังสือลอยมา
เดินตามจี้อี้ไปตลอดทั้งทาง ถนนโล่งไปหมดผ่านเข้าออกอย่างไม่ติดขัด ไปถึงในลานทำการหนึ่งที่คล้ายกับสถานที่สำนักงาน ลงทะเบียนในยุคปัจจุบัน
อาจารย์ท่านนั้นเห็นจี้อี้ ก็ไม่ได้ถามเลยว่าคังเสวีที่มีสถานะอันใดก็ดำเนินจัดการขั้นตอนการเข้าเรียนให้แก่นางเลยใน
ทันที
“ชื่อเสียงเรียงนามอันใด?”
“คังเสว่มี่”
“เสว่ตัวไหน?”
“เสว่แปลว่า หิมะ "
“เพศ?”
คังเสว่มี่ชำเลืองมองไปที่หน้าอกที่ค่อนข้างแบนเรียบ ของตนเองอย่างเงียบๆ แล้วตอบอย่างนอบน้อมและจริงใจ
“เพศหญิง"
ในเวลานี้ นางเหมือนมีภาพลวงตาเหมือนถูกตำรวจสอบสวน อะไรทำนองนั้น
ปัญหาคือ นางยังไม่โตเลยแยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงหรือ ถึงได้ถามคำถามนี้ออกมา
ดวงตาของจื้อี้กวาดมองดูบนใบหน้าที่หดหู่ของนางโดย ไม่ได้ตั้งใจ แล้วยิ้มเล็กน้อย ประคองถ้วยชาที่อาจารย์ส่งมาให้เขาแล้วจิบชา
ดูเหมือนเขาจะรู้สึกว่ารสชาติจะไม่เป็นที่น่าพอใจ ขมวดคิ้วเบาๆแล้ววางถ้วยชาไว้ข้างๆ
เขานั่งอยู่ด้านข้างอย่างสงบเงียบ เสื้อคลุมแขนกว้างห้อยลงมา
มีท่าทีสบายๆไม่ทุกข์ไม่ร้อนสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติ รอยยิ้มที่ไม่แยแสอยู่ในหน้าตาที่ละเอียดอ่อนไปชั่วนิจนิรันดร์
อาจารย์และนักเรียนเห็นเขา ทุกสายตาล้วนจับจ้อง ยากที่จะย้ายออกไป การแสดงออกบนใบหน้าที่สดใสและโดดเด่น เป็นเอกภาพสามารถอธิบายได้ว่าเคารพเลื่อมใสด้วย ความตื่นเต้น
คังเสว่มี่ถอนหายใจอีกครั้ง นางก็ไม่รู้ว่าท้องฟ้าของนักปราชญ์โดดเดี่ยวสักแค่ไหน ด้านหนึ่งก็เข้ากันได้ดีกับอาจารย์ลงทะเบียน “สอบสวน”
หลังจากผ่านมาครู่ใหญ่ ก็มีหนึ่งคนเดินออกมาด้านนอกพร้อมกับหมวกทรงสี่เหลี่ยม ชายวัยกลางคนที่สวมใส่ชุดสามัญชนสีเทา
มีหนวดเคราสีขาวเทาที่คาง สีหน้าดูเคร่งขรึม หันกวาดมองไปรอบๆภายในห้องแล้วเอ่ย
“จี้อี้ เจ้ามาถึงโก๋วจื่อเจี้ยน เหตุใดจึงไม่ขึ้นไปที่ทำงานของข้า? หรือต้องให้คนแก่อย่างข้าลงมาจากตึกมาเชิญเจ้าขึ้นไป หึ!ใช้ไม่ได้เลย”
น้ำเสียงที่เคร่งขรึม ท่าทางที่ใหญ่โต นางข้ามมิติผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนมาพูดกับจี้อี้เช่นนี้
คังเสว่มี่หันหน้ากลับไปมอง จี้อี้ก็ได้ลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้ว เสื้อคลุมแขนกว้างตกลงมาตามธรรมชาติ โค้งคำนับด้วยมือทั้งสองข้างแล้วเอ่ยอย่างเคารพ นอบน้อม
“คารวะอาจารย์สวี่ ศิษย์ได้รับมอบหมายไว้วางใจ ให้พาคุณหนูใหญ่แห่งตำหนักคังมารายงานตัว ศิษย์ต้องคอยดูให้นางลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยดีก่อน จึงจะขึ้นไปพบอาจารย์สวี่”
สายตาที่เฉียบขาดกวาดผ่านมาทางนี้
คังเสว่มี่ก็รู้ในทันใดว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้คือใคร
ท่านนี้เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเข้มงวดเป็นยิ่งนัก สวี่จี้จิ๋วปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างตายตัวไม่มียืดหยุ่น
เขามีความรู้มากมาย เปิดหูเปิดตาหาความรู้และประสบการณ์อย่างกว้างขวาง ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเที่ยงธรรม เป็นตัวแทนที่อยู่ในหัวใจของปัญญาชนทั่วใต้หล้า และจี้อี้ก็คือนักเรียนที่เขาภาคภูมิใจที่สุด
จิตวิญญาณของการเคารพครูบาอาจารย์และยอมรับ ในคำสอน คังเสว่มี่ก็มีมัน
นางเผยรอยยิ้มที่นุ่มนวลอย่างเหมาะสม ลุกยืนขึ้นแล้วหันไปเอ่ยกับสวี่จี้จิ๋ว
“นักเรียนคังเสว่มี่ทำความเคารพสวี่จี้จิ๋ว”
สายตาของสวี่จี้จิ๋วกวาดมองไปทั่วใบหน้าของนาง เห็นรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติอีกทั้งยังเป็นมิตรของนาง แววตาไม่มีสิ่งผิดปกติอันใด จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เจ้าตั้งใจลงทะเบียนให้ดี ขั้นตอนต่อไปอาจารย์เหลียงจะพาเจ้าไป”
“จี้อี้ ตามข้าขึ้นไปข้างบน"
ประโยคสุดท้าย เขาหันหน้ากลับไปพูดกับจี้อี้
จี้อี้มองไปที่คังเสว่มี่ คังเสว่มี่พยักหน้าให้แล้วทำสัญญาณมือเป็นนัยๆว่าเจ้า ไปเถอะ
มาจนถึงโก๋วจื่อเจี้ยนแล้ว นางก็ไม่ใช่เด็กสามขวบ สามารถจัดการเรื่องด้วยตนเองได้
จื้อี้ยิ้มเล็กน้อย แล้วจึงเดินไปอยู่ข้างกายอาจารย์สวี
สวี่จี้จิ๋วกวาดสายตามองดูปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง ทําหน้าขรึม หันหน้ากลับแล้วเดินไป
อาจารย์เหลียงก็คืออาจารย์ผู้นั้นที่ทำหน้าที่ลงทะเบียน เมื่อหลังจากที่รู้สถานะของคังเสว่มี่ว่าเป็นบุตรสาวของ ตำหนักอ๋อง สีหน้าก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย
การเรียนหนังสืออยู่ที่โก๋วจื่อเจี้ยน ถ้าสุ่มเลือกหนึ่งคนออกมา พวกเขาทั้งหมดล้วนอาจเป็นคุณชายหรือคุณหนูมา จากข้าราชการระดับสูง
ถ้าหากว่าอาจารย์ทุกๆคนต้องผงกหัวโค้งคำนับ เช่นนั้นอาจารย์เหล่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องสอนหนังสืออยู่ที่แห่งนี้แล้ว
นอกจากนี้
โก๋วจื่อเจี้ยนยังเป็นสถานที่คู่บารมีของฉีเทียน เป็นแหล่งเล่าเรียนที่ผู้คนใต้หล้าล้วนต่างพากันเคารพ เลื่อมใสและศรัทธา
และปัจจุบันนี้สวี่จี้จิ๋วก็ได้เพิ่มความเข้มงวดกวดขันมากยิ่งขึ้น
อาจารย์ที่สามารถเข้ามาสอนหนังสือได้ในที่นี่แต่ละคนล้วนมีความรู้ความสามารถที่แท้จริง ไม่มีปลอมปนมาอย่างแน่นอน
เมื่อก่อนเคยมีลูกท่านหลานเธอที่ยโสโอหังคิดว่าโก๋วจื่อเจี้ยนเป็นเพียงแค่กลุ่มชายชราที่คร่ำครึ การพึ่งพาตนเองนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำ วันแรกที่เข้าเรียนก็ทําร้ายอาจารย์ที่สอนหนังสือ
ผลที่ได้คือก่อให้เกิดความโกรธและไม่พอใจของนักเรียน นอกเหนือจากนี้ข้าราชการในราชสำนักก็ร่วมกันลงนามที่จะกราบบังคมทูลต่อฮ่องเต้ เพื่อขับไล่ลูกท่านหลานเธอผู้นั้นออกไปจากเมืองหลวง
ด้วยเหตุนี้ อดีตพระราชาจึงได้จัดสรรทีมอารักขา มารับหน้าที่รับผิดชอบรักษาความปลอดภัยของโก๋วจื่อเจี้ยน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการอารักขาความปลอดภัยของเหล่าคณาจารย์โก๋วจื่อเจี้ยนโดยเฉพาะ
เขาลงทะเบียนเสร็จแล้ว ก็นำเนื้อหาที่เพิ่งเขียนเสร็จเมื่อครู่ใส่ลงไปในถุง จากนั้นก็เริ่มต้นพาคังเสว่มี่เข้าไปเดินชมภายในของโก๋จื่อเจี้ยน
ยิ่งเดินเข้าไปข้างใน ก็ยิ่งได้ยินเสียงที่กำลังท่องตำราเรียนอยู่ภายใน
ก้าวข้ามถนนเฉิงเซียนแล้วก็ถึงหน้าประตูบานหนึ่ง
อาจารย์ให้คังเสว่มี่ยืนรอไปสักครู่ เรียกอาจารย์ข้างในแล้วพูดบางสิ่งบางอย่างกับเขา
อาจารย์ที่อยู่ข้างในเหลือบมองไปที่คังเสว่มี่แล้วพยักหน้า จากนั้นก็เรียกนางเข้ามา
“คืออาจารย์ฟาง เนื้อหาที่สอนคือบทกวี ในเมื่อเจ้าเป็นนักเรียนใหม่ที่มาในวันนี้ งั้นแนะนำตัวให้ทุกคนได้รู้จักก่อนแล้วกัน”
“ข้าชื่อคังเสว่มี่ แทรกชั้นเข้ามากลางคัน รู้สึกเกรงใจเล็กน้อย หลังจากนี้ถ้าหากว่ามีอะไรที่ไม่เข้าใจ ทุกคนโปรดชี้แนะด้วย"
อาจารย์ฟางดูไปแล้วก็เป็นคนที่เมตตาและอ่อนโยน เลยทีเดียว หลังจากที่คังเสว่มี่หันไปพยักหน้าให้เขา ก็แนะนำตัวเองได้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก แล้วก็ถือโอกาสสังเกตสถานการณ์สภาพแวดล้อมไป ด้วยสักเล็กน้อย
พื้นที่ในห้องเรียนช่างกว้างขวาง ภายในมีนักเรียนยี่สิบเก้าคน เพิ่มนางเข้าไปก็เป็นสามสิบคนพอดี
แต่ที่ไม่บังเอิญก็คือ นางเห็นว่ามีใบหน้าที่คุ้นเคยสองคนที่อยู่ภายในนี้
กู้เมิ่งเสวียนและเหยาเมิ่งฉิง ก็อยู่ห้องเดียวกันกับนาง
หลังจากที่ทั้งสองเห็นนางดวงตาก็ส่องประกายความ ประหลาดใจและดูหมิ่นเหยียดหยาม เหยาเมิ่งฉิงก็แอบไปกระซิบที่ข้างหูของกู้เมิ่งเสวียน
มองแวบเดียวก็รู้ได้แล้วว่านางกำลังพูดเรื่องไม่ดีอยู่
อาจารย์ฟางพยักหน้า เห็นนางแนะนําตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีเจตนาเน้นย้ำฐานะของตนเองว่าเป็นบุตรสาวของตำหนักอ๋อง จึงพยักหน้าให้ด้วยความพึงพอใจ
“งั้นเจ้าเข้าไปนั่งก่อนเถิด”
“อาจารย์ฟาง!” เหยาเมิ่งฉิงยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว
“มีเรื่องอันใด?” อาจารย์ฟางก็ไม่ได้พูดว่านางไม่เข้าใจมารยาท และเอ่ยถามกลับไปอย่างอ่อนโยน
เหยาเมิ่งฉิงสายตากวาดมองไปที่คังเสว่มี่ อย่างลำพอง ใจ แล้วหันหน้ากลับไปพูดกับอาจารย์ฟาง“ตามบทบัญญัติของโก๋วจื่อเจี้ยนแล้ว นักเรียนใหม่ทุกคนที่เข้ามาเรียนในหลักสูตรนี้คาบเรียนแรกล้วนต้องทำผลงานชิ้นแรกของตนเองทิ้งไว้ในชั้นบทเรียนแรกถึงแม้ว่าคังเสว่มี่จะรายงานตัวผ่านไปได้แล้วครึ่งทาง แต่พวกเราก็หวังว่าอาจารย์ฟางจะไม่ลำเอียง ไม่เข้าข้างนาง"ที่โก๋วจื่อเจี้ยนมีกฎอยู่ข้อหนึ่งเป็นที่ทราบกันดี เมื่อนักเรียนใหม่ทุกคนที่เข้ามาเรียน จะต้องทําผลงานทิ้งไว้ในชั้นบทเรียนแรกและผลงานอาจถูกติดไว้บนกำแพงสีหมึกดำขนาดใหญ่ ของสถานศึกษาจนกว่าหลังจากตรวจสอบว่ามีคุณสมบัติที่เหมาะสม จึงเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติที่จะรับเอาผลงานของตนเองไปพูดโดยทั่วไปแล้ว นักเรียนใหม่ส่วนใหญ่ล้วนเข้ามาในช่วงเริ่มเปิดภาคเรียนอย่างไรก็ตามบทเรียนแรกทุกๆครั้งของโก๋วจื่อเจี้ยนในการเปิดภาค บนพื้นฐานแล้วให้ความสำคัญมากที่สุดในการประดิษฐ์ เรียน ตัวอักษรดังนั้นนักเรียนใหม่ทุกคนล้วนฝึกฝนตัวอักษรใหญ่ดีๆไม่กี่ตัวที่ตนถนัดมาจากบ้าน เพื่อไม่ให้ถึงเวลาที่ต้องเอาไปติดบนกำแพงสีหมึกดำ ต้องกลายเป็นต้นตอของเสียงหัวเราะเยาะจากทุกคน วันนี้ถ้าหากว่าคังเสว่มี่เขียนบทกวีแรกนี้ออกมาได้ไม่ดี เอาติดออกไป ใครก็ต้องต่างหัวเราะเยาะนางเดิมทีนางก็โดนข่าวลือว่าทั้งโง่เขลาทั้งปัญญาอ่อน มาอยู่ในโก๋วจื่อเจี้ยน ถ้าบทกวียังเขียนออกมาได้ไม่ดีถูกผู้คนพูดให้เช่นนี้อีกครั้ง วันข้างหน้าชื่อเสียงเรียงนามที่ทั้งโง่เขลาทั้ง ปัญญาอ่อนนี้จะต้องติดตามนางไปตลอดชีวิตเป็นแน่เอ่อ......
copy right hot novel pub