คังเสว่มี่รู้ดีเลยว่าที่วังหลวงนั้นคนของราชนิกุลนั้นจะมีกองกำลังรักษาที่อยู่อย่างลึกลับไม่อาจให้ใครรู้ได้ หรือที่เขาเรียกกันว่า องครักษ์เงา องครักษ์ลับอะไรเช่นนั้น
พวกเขานั้นวรยุทธล้วนแข็งกล้าปกป้องเจ้านายด้วยชีวิตไม่ ค่อยจะได้พบเห็นได้ทั่วไปนัก
“ใช่”
จี้อี้เห็นสายตาที่เป็นกังวลของคังเสว่มี่จึงส่งสายตาเป็นสัญญาณแก่ทหารลึกลับของเขา
“ฉวี่เย่น เก็บกวาดที่นี่ให้เรียบร้อยแล้วส่งแม่นางชวนหลันกลับตำหนักด้วย”
ร่างสีเทาพยักหน้าและค่อยปกคลุมไปด้วยหมอกสีเทา ทว่าคังเสว่มี่ก็มั่นใจว่าเขานั้นอยู่รอบๆนี้ไม่ห่างไปไหน และสามารถปรากฏตัวได้อย่างรวดเร็วทุกเมื่อ หายวับไปไม่รู้ทิศทาง
คังเสว่มี่เงยหน้ามองไปยังทิศทางที่เขาสลายหายไป พลางหรี่ตามองอย่างชื่นชม
“วรยุทธของเขาดีเยี่ยมมากเลยทีเดียว ไปมาอย่างไร้ร่องรอยราวกับกลุ่มควันและนามของเขา นั้นก็ช่างเหมาะสมกับเขาเสียจริง”
ที่สำคัญคือสังหารได้อย่างยอดเยี่ยม หนึ่งดาบหนึ่งคนตัดสินเด็ดขาดว่องไว
เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นมืออาชีพ มีเขาคอยปกป้องชวนหลันถึงแม้จะโผล่มาอีกยี่สิบคนก็ไม่ต้องกังวลแล้ว คังเสว่มี่ตอนนี้ก็วางใจพลางเปิดม่านและเดินขึ้นรถม้าไป
จี้อี้เองก็ถอยกลับเข้าไปในรถม้าเช่นกันเขายกคิ้วขึ้นสูง ราวกับภูเขาและใช้น้ำเสียงนุ่มลึกสุขุมพูดออกไป
"ทุกครั้งที่ข้าพบเจ้าต้องมีอะไรให้ข้าแปลกใจทุกครั้งเลยสินะ"
สายตาของเขานั้นช่างเงียบเหงาและห่างไกลนําพาสายตาอันคมราวกับปักษายามพัดระลอกในฤดูใบไม้ผลิมองมายังนาง
เมื่อสักครู่ที่ได้พูดคุยกันข้างรถยังไม่รู้สึกแต่เวลานี้ที่ได้นั่งในรถม้า
สายตาของคังเสว่มี่ก็ไล่มองตั้งแต่คิ้วจนมาถึงริมฝีปากของเขา
ลดคิ้วลงอย่างไม่สบายใจนักแต่ก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงปกติออกไป
“แน่นอน ที่ไหนข้ามีเรื่องเจ้าก็ไปที่นั่นไม่อยากที่จะประหลาดใจก็คงยาก”
สายตาของจื้อี้บรรจบที่ขนตาที่งอนราวกับปีกผ่านเส้น ขนตาดำสนิทไปยังสายตาที่กำลังหลบซ่อนอยู่
พลันก็กลั้นยิ้มอย่างเอ็นดู
“อะไรกัน ครั้งนี้ฆ่าคนไปแต่กลับไม่กล้ามองข้า ข้ายังจําครั้งแรกได้ตอนนั้นเจ้านั้นสงบนิ่งมากทีเดียวเชียว”
ไม่ใช่เพราะนางฆ่าคนเสียหน่อยถึงได้ไม่กล้าเผชิญหน้าเขาเช่นนี้
คังเสว่มี่ถอนหายใจหนักและรู้สึกว่าตัวเองนั้นใส่ใจมากเกินไปแล้ว
ทำไมจะต้องสนใจด้วยนะแต่มองย้อนดูกลับไปจี้อี้ก็ไม่เห็นจะมีท่าทีอึดอัดเลยสักนิด
สมัยนี้คนส่วนใหญ่ยังคงชอบมีความสัมพันธ์แบบค่ำคืนเดียว นางเพียงแค่ไม่ระวังจึงเสียจูบแรกไปก็เท่านั้น แต่ว่าถูกจุมพิตจากชายหนุ่มรูปงามถือว่าเป็นสวัสดิการที่ดีเชียวนะ
เมื่อคิดในแง่บวกแล้วคังเสว่มี่ก็ช้อนสายตาขึ้นมามอง ไปยังสายตานําสนิทราวกับเคลือบใสไว้คู่นั้นของเขา
“ใครจะไม่กล้ามองเจ้ากัน? ข้ามองเจ้าบ่อยออกจะตายไปแล้วก็รู้สึกสายตาเมื่อยล้าก็เลยอยากพักสายตาก็เท่านั้น”
จี้อี้หัวเราะแต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
“เป็นเช่นนี้นี่เองไม่ทราบเลยว่าจะสร้างความลำบากให้เจ้าขนาดนี้ เจ้ารู้สึกเมื่อยล้าอ่อนแรงหรือไม่?”
คังเสว่มี่ขมวดคิ้วพลางมองด้วยความสงสัย ปกติก็ไม่ใช่คนจุกจิก วันนี้เหตุใดวันนี้เรื่องมากเช่นนี้กัน
“จี้อี้ เจ้าพูดว่า สร้างความลำบาก? เจ้าต้องการจะสื่ออะไรกัน?"
จี้อี้พูดขึ้น “เจ้ารู้ว่าข้าหมายความว่าอย่างไร.. กลุ่มคนเมื่อสักครู่นี้ไม่ใช่ว่าเจ้าไปสร้างเรื่องเอาไว้หรอกหรือ?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงราบเรียบจากเขาและลมหายใจที่สุดเข้าลึกและปล่อยออกมาอย่างเยือกเย็น คังเสว่มี่ไม่รู้ว่าทำไมใจถึงได้รู้สึกกลัดกลุ้มจึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกไป
“เจ้าหมายถึงเรื่องที่ข้าถูกพวกอันธพาลรุมโจมตีเมื่อครู่นี้ใช่ไหม? ถ้าหากว่าใช่
ข้าก็ไม่ได้รู้สึกถึงความลำบากหรือเดือดร้อนอะไรเลย
พวกกลุ่มอันธพาลพวกนั้นก็จริงที่พวกมันนั้นกำเริบเสิบสานใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่รู้จักกฎหมายบ้านเมือง
แต่แล้วเจ้าจะให้ข้าเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไม่สนใจเด็กสาวที่กำลังถูกคนเลวพวกนั้นรังแกได้หรือ?
ถ้าข้าไม่ยื่นมือไปช่วยแล้วปล่อยให้ของล้ำค่าที่แม่ของเด็กสาวคนนั้นเหลือไว้ให้หลุดลอยไปกับพวกคนชั่ว แต่ข้าช่วยนางได้ แล้วทำไมข้าถึงจะไม่ช่วย?
ถ้าหากบนโลกนี้ทุกคนเห็นว่าคนอื่นกำลังโดนรังแกหรือ ต้องการความช่วยเหลือแต่ต่างก็เฉยเมยแล้วเดินจาก
ถ้าอย่างนั้นพอถึงยามที่ตัวเองต้องพบเจอกับปัญหาเล่า? จะมีใครรับประกันได้ว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่ต้องร้องขอความช่วยเหลือจากใคร
เวลาอยู่ตัวคนเดียวไม่มีใครช่วย? สรุปแล้ว
ถ้าหากข้าไม่เจอก็ช่างมันแต่ในเมื่อพบเจอแล้วก็ไม่อาจ ไม่ยื่นมือเข้าช่วยได้
ซื่อจื่อวันนี้ยังยื่นมือมาช่วยเหลือเสว่มี่ ข้าเสว่มี่รู้สึกซาบซึ้งนัก ตอนนี้ก็ต้องขอบคุณซื่อจื่อ
แน่นอนว่าการทําความดีข้าก็ต้องประเมินกำลังและความสามารถของตนเอง
ประเมินกำลังความสามารถของตนเองแล้วค่อยไปช่วยเหลือ"
นางนั้นไม่ใช่พระแม่มารีไม่สามารถอ้าแขนให้อภัยพวกคนเลวได้ หรือทําตนเองเป็นวีรสตรีอย่างสะเปะสะปะได้
ยกตัวอย่างเช่นเมื่อครู่นี้ ข้อที่หนึ่งนางนั้นมีศักดิ์ของธิดาคนโตของตำหนักอ๋องคังคอยปกป้องอยู่
ข้อที่สอง นางนั้นคำนวณถึงกำลังความสามารถของคู่ต่อสู้จึงมั่นใจว่าตนเองนั้นสู้ได้ถึงแม้ฉวี่เยนจะไม่ปรากฏตัวก็ตาม อันธพาลเจ็ดคนแค่นางก็เหลือเฟือแล้ว
มิเช่นนั้นนางคงลากชวนหลันวิ่งหนีไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นางคงไม่ไปต่อกรกับพวกอันธพาลแบบโง่ๆ อย่างนั้นหรอก
สีหน้าของเด็กสาวตอนนี้ไม่เคยจริงจังขนาดนี้มาก่อน ดวงตาวาวใสคลอเพราะความตั้งใจที่มีมากและด้วยเพราะนิสัยร่าเริงที่เป็นเอกลักษณ์ของนาง
ใบหน้าเล็กย้อมไปด้วยแสงสว่างสดใสราวกับมีแฟงส่อ ทะลุออกมาจากตัวนาง
สายตาของจื้อี้มีแสงเปล่งประกายระยิบระยับออกมาเล็กน้อย
ดวงตาคมดำสนิทมีหมอกบางๆค่อยๆคลุมไปทั่วสารทิศ ตำพูดของคังเสว่มี่ดังสะท้อนอยู่ในหูตลอดเวลา
ที่นางพูดนั้นไม่ผิดความเมตตาเป็นสิ่งที่ไร้ค่ามากทีเดียว
ตอนนั้นถ้าหากมีใครสักคนที่เหมือนนางละก็คนที่มีหลักการและเมตตาไม่หวั่นกลัวสิ่งใดและยืนหยัดมุ่งมั่น สามารถช่วยเหลือแบ่งเบางานได้ บางทีชีวิตของเขานั้นก็คงต่างออกไป
น่าเสียดาย ถ้าหาก.......
บนโลกใบนี้จะมีอีกสักกี่คนที่จะเป็นได้เหมือนนาง ทั้งภายนอกและภายในมีแต่ความอบอุ่นตลบอบอวลไปทั่ว
ความเย็นชาและความเห็นแก่ตัวที่มากเกินไปทำให้เขานั้นหลงลืมถึงความอบอุ่นและความยุติธรรมที่มีอยู่ระหว่างมนุษย์
ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมาสิ่งที่อยู่ในใจจึงค่อยๆมลายหาย ไปจนสิ้นความรู้สึกที่ไม่ค่อยชัดเจนจากภายในใจแพร่กระจายมายังดวงตา จี้อี้หลับตาลงเบาๆที่จริงแล้วเขานั้นรู้จักนางดีนางนั้นไม่ใช่คนที่ชอบหาเรื่องใส่ตัวเพียงแค่รู้สึกว่านางนั้นไม่สนใจความปลอดภัยของตนเองเลย!หรือว่านางไม่รู้ว่าแบบไหนถึงจะเป็นอันตรายต่อนางกัน?ตัวเองก็เป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กๆถึงแม้ว่าจะมีฝีมือดีแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้อย่างใจนึก ถ้าหากวันนี้ไม่ใช่ลูกน้องอันธพาลแต่เป็นระดับยอดฝีมือนางจะจัดการด้วยตนเองอย่างไรกัน? เขาลืมตาขึ้นและใช้ดวงตาที่งดงามและสุภาพมองอย่างรวดเร็วจี้อี้ยกยิ้มริมฝีปากและพูดด้วยน้ำเสียงประชด ประชัน“ไม่คิดเลยว่าคุณหนูใหญ่คังจะทำตัวเป็นอัศวินที่คอยช่วยเหลือโลกนะเนี่ย จี้อี้ชื่นชมท่านจริงๆเพียงแต่ข้าขออนุญาตถามท่านอัศวินคังว่า ถ้าหากว่าวันนี้อันธพาลเหล่านั้นเพิ่มขึ้นมาอีกห้าหกคนและเป็นระดับหัวหน้าไม่ทราบว่า อัศวินคังเจ้าจะจัดการอย่างไรจะต่อสู้อย่างห้าวหาญให้ตายไปข้างหนึ่งหรือว่าจะมองเด็กรับใช้ถูกจับไปอย่างกล้ำกลืนฝืนทน?”คังเสว่มี่ฟังคำเหน็บแนมอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอดไม่ได้ที่จะโกรธแต่ก็ลดน้ำเสียงลงมาเล็กน้อย“ข้าถูกคนรุมโจมตีแล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่านจี้ซื่อจื่อด้วย? จี้ซื่อจื่อท่านจะไม่ชินก็เรื่องของท่าน ข้าไม่ได้ไปขวางท่านเสียหน่อยหากท่านพบเห็นท่านก็เดินออกไปก็หมด เรื่องแล้วอีกอย่างที่ท่านมาพูดประชดประชันเสว่มี่แบบนี้ หรือว่าหญิงสาวสิบแปดมงกุฎผู้นั้นนางจะเป็นญาติของท่านอย่างนั้นหรือ?”เห็นนางโมโหเป็นฟืนเป็นไฟจนใบหน้าอันงดงามแดงก่ำ แต่ก็ยังเห็นได้ถึงความน่ารักแสดงออกมา จี้อี้มองด้วยแววตาอันสั่นไหว
copy right hot novel pub