แววตาของคังเสว่มี่นั้นวาวโรจน์นางนั้นไม่ได้อยากฆ่าใครเลยสักคน
แต่ว่าพวกเขานั้นบีบบังคับให้นางต้องทำ! นางพลิกฝ่ามือใช้เล็บคว้าเข้าที่คอของคนที่อ่อนแอ ที่สุด
กัดฟันแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกต้นคอเคลื่อนดังออกมา ทำให้คอของชายคนนั้นพับลงมานางจึงสะบัดร่างไปข้างๆ
คังเสว่มี่กระโดดลอยขึ้นมุ่งไปทางที่มีคนร้ายเหล่านั้นยืนอยู่
ทั้งหมดตกอยู่ท่ามกลางความตกตะลึง ทันใดนั้นตรงด้านหลังของพวกเขาจู่จู่ก็มีควันสี เทาพวยพุ่งออกมา
ตรงกลางของควันสีเทานั้นเป็นเงาสีเข้มอีกหนึ่งชั้น มันค่อยๆล้อมตัวหัวหน้าของคนร้ายพวกนั้นเอาไว้
จู่ๆหัวหน้าของพวกมันก็ล้มลงกับพื้นแม้กระทั่งคำสั่งเสียก่อนตายก็พูดออกมาไม่ได้
กลุ่มควันสีเทาลอยพวยพุ่งไปยังสามสี่คนที่เหลือจากนั้นก็ลอยมาข้างกายนาง และที่เหลืออีกสามสี่คนก็ล้มลงเช่นเดียวกัน ถ้ามองดีๆจะมีรอยแผลเล็กๆและมีเลือดไหลช้าๆที่คอของพวกเขา....
ความตื่นตัวของคังเสว่มี่ค่อยๆเพิ่มขึ้นแต่กลุ่มควันสีเทา นั้นกลับไม่ได้สนใจนางเลยแม้แต่นิดมันลอยหายไป ทางปากซอยของถนนที่นางเดินเข้ามา
สายตาของคังเสว่มี่มองตามกลุ่มควันนั้นจนไปสิ้นสุดที่ปากทาง ก็พบรถม้าที่ทำจากไม้จันทน์จอดนิ่งอยู่ตรงนั้น ควันสีเทานั้นก็หยุดอยู่ข้างรถม้านั้นและค่อยๆสลายหายไป พวกมันลอยหายเข้าไปยังร่างของชายหนุ่มที่สวมใส่ชุดเทาปกปิดอย่างมิดชิด
ที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้ารถม้า เส้นเสียงนั้นก็เหมือนกับหมกควัน
“ซื่อจื่อ ทั้งหมดถูกกำจัดแล้วพะย่ะค่ะ”
มือขาวซีดเปิดม่านออกช้าๆปลายแขนเสื้อสีม่วงโบกไปมาเล็กน้อย
ใบหน้าหล่อเหลาที่สะท้อนกับแสงแดดอมยิ้มและพยักหน้า
“อืม”
ที่แท้ก็เจ้าอุบายจี้
เมื่อกี้นางก็รู้สึกใจเต้นแปลกๆราวกับกลัวคนอื่นจะมาเห็นนาง ทว่าก็บอกไม่ถูกว่ากลัวใครเห็น
เมื่อสายตาเห็นว่ากลุ่มควันสีเทานั้นเป็นคนของจื้อี้นางก็รู้สึกสบายใจขึ้น
จึงเดินไปยังข้างกายชวนหลันถามไถ่ชวนหลันว่าเป็น อะไรหรือไม่นางส่ายหน้าพลางลูบอกไปมา นอกจากอาการตกใจอย่างอื่นก็ไม่เป็นอะไร
เมื่อเห็นว่านอกจากหน้าขาวซีดของนาง การพูดการจาก็เหมือนปกติทุกวัน
คังเสว่มี่ก็วางใจจูงนางไปยังด้านข้างรถม้าของจี้อี้
“บังเอิญเสียจริงที่มาเจอเจ้าที่นี่” คังเสว่มี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ
จี้อี้พยักหน้า
“แน่นอน กระโปรงของโล่สุ่ยนั้นเสร็จพอดี อยากให้เจ้าลองดูว่าพอดีตัวหรือไม่ข้าเลยไปตำหนักอ๋องคังเพื่อไปรับเจ้า
แต่ทหารเฝ้าประตูบอกข้าว่าเจ้าไปร้านหนังสือหัวเวินข้าก็เลยตามมา"
แบบนี้นี่เอง
ก็ว่าทำไมจี้อี้ถึงได้มาได้ทันท่วงทีที่แท้ก็เพราะกระโปรง ชุดนั้นทำเสร็จแล้วก็เลยมาตามนาง
จี้อี้มองสำรวจร่างกายนางก็เห็นว่านอกจากกระโปรงที่ ยับเล็กน้อยก็ไม่เห็นอาการบาดเจ็บใดๆจึงพูดออกไป ด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า
“เจ้ายังไม่ได้ไปร้านหนังสือหัวเวินสินะ จะไปซื้อหนังสือก่อนหรือว่าจะไปตำหนักอ๋องจี้ลองชุด ก่อนดีล่ะ?”
“ร้านหนังสือหัวเวินอยู่ไกลหรือไม่?” คังเสว่มี่นึกถึงเรื่องที่ขวางไม่ให้ไปซื้อหนังสือถามกลับไป
จี้อี้ชี้ไปทางข้างหน้า “ไม่ไกลแค่เดินไปข้างหน้านี้
ชวนหลันกุมหน้าพลางพูดด้วยความรู้สึกผิด
“ตายแล้วคุณหนูเป็นความผิดของชวนหลันเองเจ้าค่ะที่จำทางผิด เลยเลยทำให้คุณหนูต้องบาดเจ็บ...."
ที่จริงต้องเป็นคนขับรถม้าที่พาพวกนางมาส่งถึงที่หมาย แต่ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเหตุแห่งหยกกัน ชวนหลันยืนเหม่ออยู่ข้างกายโอกาสได้มาข้างนอกนั้น มีไม่มากนัก
เมืองหลวงที่ใหญ่โตเช่นนี้ไม่ผิดเลยที่จะจำทางไม่ได้ คังเสว่มี่ตบไหล่นางเบาๆพลางยิ้มออกมา
“ช่างเถอะ คนพวกนั้นก็แค่เจ้าชี้ทางให้ยังไงพวกมันก็ต้องหา โอกาสมาหาเรื่องพวกเราอยู่แล้ว”
พูดไปก็หันหลังกลับ...
เมื่อพูดจบก็หันกลับไปทางจี้อี้
"วันนี้ข้ามาเพื่อซื้อหนังสือ ข้าจะไปซื้อหนังสือก่อนแล้วค่อยไปตำหนักอ๋องจี้"
ฉวี่ซางที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆก็พูดขึ้นมาว่า “คุณหนูใหญ่คังจะซื้อหนังสืออะไรหรือขอรับ?”
“บันทึกบุคคล บันทึกประวัติศาสตร์แล้วที่สำคัญก็พวกหนังสือเรียน คังเสว่มี่ที่ถูกถามก็เกาศีรษะและพูดอย่างเขินอายออก
มา
“เจ้าก็รู้ว่าข้าน่ะเป็นนักเรียนแทรกชั้นยังอ่านหนังสือไม่พอถึงเวลาต้องสอบรวมที่โก๋วจื่อเจี้ยนก็กลัวว่าจะไม่ ผ่านเอา”
ฉวี่ซางพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นถึงท่าทีตั้งใจของนาง
ฉับพลันเขาก็พลันหันไปมองซื่อจื่อเมื่อเห็นว่าซื่อจื่อไม่ได้มีท่าทีจะหยุดไม่ให้เขาพูดจึงได้พูดต่อ
“คุณหนูใหญ่คังขยันหมั่นเพียร ท่านอ๋องคังต้องภาคภูมิแน่นอนขอรับ แต่ว่าพูดถึงตำราเรียนของการสอบโก๋วจื่อเจี้ยน ซื่อจื่อเข้าร่วมตั้งคำถามของการสอบโก๋วจื่อเจี้ยนทุกปี คุณหนูถามซื่อจื่อได้นะขอรับ
ถ้าหากซื่อ จื่อเลือกตำรามาให้คุณหนูมันต้องดีทุกเล่มแน่นอนขอรับ”
ก็จริง
จี้อี้หลังจากศึกษาอบรมจากนอกเมืองกลับมายังเมืองหลวงตอนอายแปดขวบ ก็ได้ทำการเข้าโก๋วจื่อเจี้ยน ตอนนั้นเขาสอบผ่านด้วยผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมที่สุด กลายเป็นนักเรียนที่เข้าโก๋วจื่อเจี้ยนโดยใช้เวลาสั้น ที่สุดและจบการศึกษาเร็วที่สุด
ท่านอาจารย์สวี่จี้จิ๋วยังเป็นอาจารย์ในเวลานั้น เขาเป็นนักเรียนที่ภาคภูมิใจที่สุดและหลังจากที่จี้อี้ถูกแต่งตั้งเป็นชื่อจื่อก็ได้ถูกเชิญเข้าร่วมให้เป็นคนตั้ง คำถามสำหรับการสอบเข้าโก๋วจื่อเจี้ยน คิดถึงตรงนี้คังเสว่มี่หันไปพูดขอบคุณฉวี่ซาง
“โชคดีที่ท่านฉวี่เอ่ยเตือน ไม่อย่างนั้นเสว่มี่คงจะต้องเดินอ้อมเป็นแน่"
ฉวี่ซางทราบว่านิสัยนางนั้นเป็นคนหัวอ่อนและมี มารยาท
“คุณหนูใหญ่คังนั้นเฉลียวฉลาด ฉวี่ซางเพียงแค่พูดไปตามประสา เรื่องการสอบเข้านั้นที่สำคัญที่สุดก็คือคนขยัน”
นั่นก็เป็นเรื่องจริง
ถ้าหากตัวเองไม่ขยันหมั่นเพียรถึงแม้จะส่งคำตอบไป อย่างไรก็คงท่องไม่ได้เหมือนกับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
คังเสว่มี่พยักหน้ารับพลางหันไปมองทางจี้อี้
“ข้าจะไปที่ตำหนักอ๋องจี้ การที่ข้าถือโอกาสจะไปยืมตำราเพื่อเพิ่มความรู้ที่ ตำหนักของท่านคงจะไม่ว่ากระไรใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นแววตาอันเปล่งประกายสดใสของนางจื้อี้ก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
นี่มันดีมากที่จะได้คำชี้แนะจากจี้อี้ถือว่าเป็นความสำเร็จ ครึ่งหนึ่งเลยนะ
คังเสว่มี่หันหลังกลับไปมองชวนหลันพลางพูดว่า
“ข้าจะไปตำหนักอ๋องจี้กับจี้ซื่อจื่อ เจ้าไปบอกคนรถไม่ต้องให้เขารอที่นี่แล้วให้กลับ ตำหนักไปก่อนได้เลย”ชวนหลันในใจนั้นรู้สึกดีใจเหลือเกินที่นางนั้นได้อยู่กับจี้ชื่อจื่อแต่ก็ถามออกไปว่า“แล้วจะให้นำรถม้าไปรับคุณหนูที่ตำหนักอ๋องจี้เมื่อใด เจ้าคะ?”จี้อื้อมยิ้มพลางพูดว่า“แม่นางชวนหลัน คุณหนูใหญ่คังเป็นแขกของตำหนักข้า ยังไงก็ต้องส่งรถม้าพานางกลับไปส่งยังตำหนักอย่างปลอดภัยอยู่แล้วถ้ายังไงฝากเจ้าบอกท่านอ๋องคังให้ทราบเรื่องด้วย”เมื่อได้ยินดังนั้นชวนหลันแววตาเป็นประกายพยักหน้า ตอบรับอย่างลนลานพลางคังเสว่มี่ให้ขึ้นรถม้าไป“คุณหนู ท่านไปเถอะเจ้าค่ะ ชวนหลันจะกลับตำหนักไปกราบทูลท่านอ๋องให้ทราบ เอง คุณหนูได้โปรดวางใจ!”เด็กน้อยท่าทางสดใสเห็นที่จี้อี้ราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างคังเสว่มี่ถูกนางดันให้ขึ้นรถม้าจึงกลับไปประกบมือชวน หลันเบาๆพลางเหล่ตามองนาง“เลิกดันได้แล้วข้ารู้วิธีขึ้นหน่า กลับก็ระวังตัวด้วย"ชวนหลันมือไม้อ่อนหมดแรงขึ้นมาทันทีถ้าหากเจอคน แบบนั้นอีกคงจะไม่ปลอดภัยอีกแน่ นางรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย ตอนที่กำลังคิดอยู่นั้นสายตาก็ไปตกอยู่ที่ชายชุดเทาที่ ถ้าหากไม่เห็นเขายืนอยู่ตรงนี้นางก็คงไม่รู้สึกว่ามีหนึ่ง ชีวิตอยู่ตรงนี้ห่างจากนางไม่ถึงสองฟุต ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ“เขาเป็นทหารลับของท่านหรือเจ้าคะ?”
copy right hot novel pub