นางไม่สามารถควบคุมความคิดของตัวเองที่อยากจะเข้าไปอีกครั้งได้ นางอยากจะรู้ว่าถ้าเข้าไปแล้วจะกลับไปรับรู้ความรู้สึกเมื่อสักครู่ได้อีกหรือเปล่า
ความคิดนี้ไม่สามารถออกไปจากหัวของนางได้เลย คังเสว่มี่ครุ่นคิดพลางก้มลงมองแล้วก็พบว่ามือของจี้อี้นั้นยังไม่ออกไป จากเอวของนาง
“เหตุใดเจ้าถึงยังไม่เอามือออกอีก?"
“ก็คือข้าเห็นเจ้าสองคนกอดกันตั้งแต่เมื่อสักพักนี้แล้ว แล้วเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์จี้เจ้าเรียนรู้ที่จะเอาเปรียบผู้หญิงเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?"
สายตาของไป๋หลี่เหลียนมองผ่านมือของจี้อี้ที่จับอยู่ที่ เอวของคังเสว่มี่ไปพร้อมกับใบหน้าที่คงรอยยิ้มเจ้าชู้
จี้อี้เยาะยิ้มและมองไปทางไป๋หลี่เหลียน
“ข้าไม่ได้เอาเปรียบหญิงสาว แต่นางต่างหากที่เอาเปรียบข้า"
คังเสว่มี่นางส่งเสียงไม่พอใจ นางว่านางก็พูดชัดเจนตั้งหลายรอบอยู่นะว่าให้ปล่อย แต่เขานั่นแหละที่ไม่ปล่อย แล้วยังมาโทษว่านางเอาเปรียบอีกหรือ?
นางยิ้มแต่สายตามองไปที่จื้อี้อย่างโกรธเคือง
น้ำเสียง สวนทางทางกับใบหน้าอ่อนหวาน
“ใช่แล้วละ ข้าเอาเปรียบเจ้าเอง เป็นข้าเองที่ลากแขนของเจ้ามาวางไว้ที่เอวข้า วันนี้ข้าไม่อยากจะเอาเปรียบเจ้าเท่าไหร่จะเป็นอะไรไหม ถ้าเจ้าจะนํามือของเจ้าออกไป?”
จี้อี้ยิ้มเล็กน้อยแววตาประกายแปลกๆพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงไร้กังวล
“แน่นอนว่าได้”
พูดจบเขาก็นำมือที่วางอยู่ที่เอวของคังเสว่มี่ออก
คังเสว่ รีบหมุนตัวออกจากอ้อมแขนของเขา แต่เหมือนจะรีบหมุนเร็วเกินไปทำให้ร่างกายอ่อนแรง เพราะสูญเสียพลังงานไปจำนวนมากทำให้เมื่อเท้าก้าว ถึงพื้นก็ต้องร่วงลงไปที่พื้น มือของจี้อี้ยังคงอยู่ที่เดิมและไม่คิดจะดึงกลับ
เมื่อเห็นนางล้มลงมือก็ยื่นจับเข้าที่เอวนางโดยสัญชาตญาณ ใบหน้าดั่งภาพวาดมองอย่างจนปัญญา
“ไป๋หลี่เหลียน ข้าเคยได้ยินว่าผู้หญิงนะเป็นพวกปากอย่างใจอย่าง มักจะไม่เข้าใจสิ่งที่พูดเท่าไรนัก ในวันนี้ข้าได้เรียนรู้แล้ว เมื่อกี้ไม่ได้ยอมรับว่านางนั้นเอาเปรียบข้า จนตอนนี้..."
เขานั้นถอนหายใจออกมาบางเบาจนยากที่จะได้ยิน และมองหญิงสาวที่กลับเข้ามาสู่อ้อมแขนเขาอีกครั้ง
“ใครปากอย่างใจอย่างกัน ข้าแค่ขาอ่อนแรงเฉยๆหรอก!"
คังเสว่มี่ จ้องจื้อี้เขม็ง เขารู้อยู่แล้วว่าถ้าปล่อยมือนางจะยืนไม่ไหวเลยตั้งใจ เพียงแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงได้แข้งขาอ่อนเช่นนี้กัน เมื่อกี้ไม่ใช่ภาพมายาในหัวหรอกหรือ ทําแบบนี้
กําลังภายในมหาศาลที่ระเบิดออกมาเมื่อครู่นี้ร่างกายน่าจะรับไม่ไหว
ไป๋หลี่เหลืยนมองดูจี้อี้ที่จับคังเสว่มี่อย่างธรรมชาติไว้ อีกครั้ง
ความรู้สึกหยุดชะงักดวงตากลมพยายามสืบเสาะเรื่องราวพลางถามออกไปด้วยความรวดเร็ว
“ดูเหมือนว่าความรู้สึกเป็นกังวลว่าข้าจะเป็นอันตรายต่อคังเสว่มี่ที่เห็นข้ายืนอยู่ในค่ายกลนั้นจะทำให้นางแข้งขาอ่อนแรง สรุปแล้วก็เป็นความผิดข้า ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้ถ้าอย่างนั้นก็ส่งคังเสว่มี่มาให้ข้าเถอะ"
คังเสว่มี่ กลอกตามองไป๋หลี่เหลียน ขอร้องละ นางไม่ได้เป็นห่วงเขาจนแข้งขาอ่อนแรงแต่นางก็ขี้เกียจที่จะอธิบายอะไรออกไปแล้ว
ถ้าอธิบายไม่ชัดเจนก็ไม่พูดดีกว่า
จี้อี้ยิ้มเล็กน้อย
“เรื่องที่นางเป็นห่วงกลัวเจ้าจะเป็นอันตรายเรื่องนี้ข้าไม่แน่ใจนัก แต่ที่ข้ามั่นใจเมื่อกี้ที่ข้าปล่อยมือแต่นางนั้นมองมาที่ข้าด้วยสายตา อาลัยอาวรณ์"
เดี๋ยวนะนี่มันตลกเกินไปแล้ว ข้าไปมองจี้อี้ ด้วยสายตาแบบนั้นตอนไหนกัน
รอบนี้จะบอกว่า...นางนั้นหมดแรงจะเถียงแล้ว
คังเสว่มี่เงยหน้ามองจี้อี้เขานั้นยังคงยิ้มด้วยสีหน้าสูงส่งอยู่เช่นเดิม นางรู้ว่าคนๆนี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร
“ข้าบอกไปแล้วว่า เมื่อกี้ข้าแค่รู้สึกอ่อนแรงเท่านั้น เจ้าปล่อยข้าได้แล้วข้าไม่ล้มลงในอ้อมแขนเจ้าอีกแล้ว ข้ามั่นใจ
“เจ้าหมายความว่าจะเข้าสู่อ้อมกอดขององค์ชายหก แทนงั้นหรือ?" จี้อี้ขมวดคิ้วถาม
“ข้า....”
คังเสว่มี่คิดว่าตนเองนั้นกำลังถูกล้อมไปด้วยจี้อี้ล้อมจน ตกลงไปในกับดักจนทำให้พูดไม่ออก
“ข้ามีขาถึงแม้ว่าจะยืนไม่มั่นคงแล้วจะไปอยู่ในอ้อมกอดไปหลี่เหลียนทำไมกัน
จี้อี้ได้ยินก็ก้มมองหญิงสาวในอ้อมกอด ใบหน้าย้อมไปด้วยสีแดงมีเพียงแค่ดวงตาที่ทอแสง ประกายเหมือนกับดวงดาวในท้องนภายามค่ำคืนดึงดูด เอาไว้
เขายิ้มออกมาบางๆดวงตาแพรวพราวเหมือนกับดวง จันทร์สะท้อนในแม่น้ำ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องยืนให้มั่นคงละกันนะ”
ได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนและราบเรียบก็เหมือนว่าตนเอง เป็นเด็กทารกที่เพิ่งหัดเดินยังไงยังงั้น คังเสว่มี่ก็อายจนต้องผลักเขาออก
อย่างที่คาดคำพูดมักจะได้ในเวลาสั้นๆสูบพลังใน ร่างกายจนหมด
แม้ว่ามือไม้แข้งขายังอ่อนแรงแต่ก็สามารถยืนได้ด้วย ตนเองแล้ว
คังเสวี ถอนหายใจเงยหน้ามองจี้อี้
“เห็นไหมข้ายืนได้แล้วเจ้าไม่ต้องพยุง” จี้ พยักหน้า “ดีแล้ว”
น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนกับใบไม้ที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ในฤดูใบไม้ผลิทำให้คังเสว่มี่ต้องมองค้อน
คนนี้มองนางเป็นเด็กทารกหรืออย่างไร เหอะ
สายตาซับซ้อนของไป๋หลี่เหลียนมองไปที่จี้อี้ ดวงตากลมโตเหมือนลูกท้อสะท้อนแสงอาทิตย์เขาโบก พัดไปมาพร้อมกับมองจี้อี้ ริมฝีปากบางชมพูประดับด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจำได้ว่าจี้ซื่อจื่อนั้นไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้เกินสามฟุต
ในตอนนั้นมีหญิงงามมากมายที่อยากจะอยู่ในอ้อมกอด ของเจ้าแต่ไม่มีใครได้เข้าใกล้ แต่วันนี้เหมือนข้าจะมองผิดไปหรือเปล่านะ?
เมื่อกี้คนที่กอดคังเสว่มี่ไม่ใช่เสว่เยว่กงจื่อของแคว้นฉี เทียนของเราใช่หรือไม่?”
จี้อี้ได้ยินเขาอยู่แบบนั้นก็ยิ้มออกมา ขนตายาวดั่งปีกนกอยู่ภายใต้แสงแดดเหมือนกับผีเสื้อ กลางคืนกําลังกางปีก
“หญิงสาวในโลกใบนี้มีไม่น้อยทว่าคนที่ทำให้องค์ชาย หกนั้นตกอยู่ในภวังค์และยังทำให้คนที่ไม่เคยผ่าน กล้วยไม้หิมะได้เป็นสิบปีกลับมีอยู่คนหนึ่ง ข้าอยากรู้จริงๆว่าหญิงสาวคนนั้นจะมีอะไรที่โดดเด่น กว่าหญิงสาวคนอื่น”
“เจ้ารู้สึกถึงความแตกต่างหรือไม่?” ไป๋หลี่เหลียนดวงตาประกายเหมือนคลื่นลูกใหญ่ขมวดคิ้วถาม
จี้อี้มองไปที่คังเสว่ พร้อมกับพยักหน้า “รู้สึกสิ"
ไป๋หลี่เหลียนสนใจขึ้นมาว่าอะไรทำให้จี้อี้รู้สึกแตกต่าง “มันคืออะไร?”
จี้อี้ยิ้มเล็กน้อย “ไม่บอกไป๋หลี่เหลียนเลิกคิ้วมองคังเสว่มี่กะพริบตาทรงเสน่ห์“ความคิดของเจ้าจิ้งจอกจี้นั้นยากแท้หยั่งถึงซ่อนไว้ไม่ ให้ใครได้รู้เสว่มี่นั้นแตกต่างจากหญิงอื่นแต่ว่าเป็นดาวนำโชคของ ข้า!ถ้าหากไม่ใช่เพราะนางช่วยข้าคงผ่านกล้วยไม้หิมะเข้า มาได้”เขามองดูโดยรอบเขาเป็นองค์ชาย ตั้งแต่เด็กเขานั้นมักจะเจอแต่สิ่งดีๆมองเพียงแค่แวบเดียวก็สามารถรู้ได้โดยธรรมชาติว่า อะไรเป็นสิ่งที่ดีและจะได้ผลที่คุ้มค่า ตอนนี้เขานั้นตกใจจนพูดไม่ออก“จี้อี้ เดิมทีเจ้ามักจะแอบอยู่แต่ที่นี่ตำหนักที่งดงาม ไม่แปลกที่จะออกแบบค่ายกลที่ฆ่าคนได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็คงต้องนั่งตัดต้นไม้นี่กลับไปถ้าไม่เกิด อะไรขึ้นทั้งชีวิตนี้ช่างจะสบายเสียจริงความสุขล้นเหลือ"“อืม คนๆนี้คอยแอบแต่เสพความสุขอยู่คนเดียว แน่นอนว่าสามารถดูคนออกได้เพียงแค่ชั่วแวบเดียว” คังเสว่มี่พยักหน้าความคิดของไป๋หลี่เหลียนและนางนั้นเหมือนกันนางนั้นอยากจะตัดไปขายเสียจริงเสียดายที่ทำไม่ ได้.....จี้อี้ยิ้มรับดวงตานิ่งสงบ....
copy right hot novel pub