โหมดมืด
ภาษา arrow_icon

หลงรักทนายคนเลว

บทที่ 220 ย่ำยีศักดิ์ศรี

บทที่ 220 ย่ำยีศักดิ์ศรี

เป้ยฉ่ายเวยไม่ทันได้อธิบาย ทำได้แค่ส่งสายตาขอร้องมาที่เธอ

อวี๋ซือซือถอนหายใจอย่างจนใจ โบกมือไล่แล้วพูดว่า “ไปเถอะๆ ฉันจะอยู่นี่กับหลานรักฉันเอง”

“อืม ฝากรุ่ยรุ่ยด้วยนะ” เป้ยฉ้ายเวยหยุดชะงักไป พูดขึ้นเสียงจริงจังว่า “ฉันจะกลับมาให้เร็วที่สุด”

ถ้าผู้ชายคนนั้นยอมใจดีให้น่ะนะ

อวี๋ซือซือโบกมือไล่ให้เธอไปได้แล้ว เธอไม่อยากจะพูดอะไรแล้ว ไม่รู้จริงๆว่าทำไมเวยเวยต้องถูกไอ้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั่นหลอกกินอยู่เรื่อย เป็นเวรเป็นกรรมจริงๆ

เป้ยฉ่ายเวยรู้ว่าเพื่อนสนิทเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว แต่เธอก็อธิบายอะไรไม่ได้ จึงรีบออกมาจากโรงพยาบาล เรียกแท็กซีกลับไปที่อพาร์ทเม้นของตัวเอง

มองดูประตูที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ที่พักเล็กๆที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยในอดีต ตอนนี้เหมือนเป็นเหวลึกที่น่ากลัว เธอไม่อยากจะเปิดประตูเข้าไปเลย

จนกระทั่งโทรศัพท์ในมือเผียดเสียงขึ้นอีกครั้ง เป้ยฉ่ายเวยรู้ว่ามันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าผู้ชายคนนี้เริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว จึงทำได้แค่เงยหน้าขึ้นแล้วผลักประตูเข้าไป

ข้างในไม่ได้เปิดไฟเลย ครั้งนี้ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มไม่ได้นั่งรออยู่บนโซฟา แต่กำลังยืนหันหลังให้เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงพร่ามัวของดวงจันทร์ยิ่งทำให้เงาของเขาดูสูงใหญ่ ท่าทางตอนเหม่อลอยยังปรากฏความโดดเดี่ยวออกมาด้วย

เธอตาพร่าไปหมด ที่ได้เห็นว่าฉูเจ๋อหยางก็โดดเดี่ยวเป็น ผู้ชายที่ยโสโอหังมองทุกอย่างด้วยหางตา จะโดดเดี่ยวได้ยังไง น่าจะภูมิใจกับตัวเองนักหนาแบบนี้สิถึงจะถูก

และก็เป็นเธอที่มองผิดไปเองจริงๆด้วย ในวินาทีต่อมา เสียงของชายหนุ่มก็ยังเย็นชาเหมือนเดิม” ปิดประตู”

เป้ยฉ่ายเวยไม่ได้ขยับตัว เหลือบมองประตูห้องที่อยู่ข้างหลัง แค่ก้าวถอยหลังออกไปสองก้าวแล้วปิดประตูใส่ จากนั้นก็หนีไป เธอก็ไม่ต้องทนอยู่ในบรรยากาศที่ทำให้เธอใกล้จะแตกสลายแบบนี้แล้ว

สุดท้ายประตูก็ปิดลง แต่เธอเลือกที่จะขังตัวเองไว้ในกรงขังนี้

“มานี่” ชายหนุ่มออกคำสั่ง ทุกการขยับตัวของเป้ยฉ่ายเวย ราวกับหุ่นเชิดไร้ความรู้สึก ที่มีคนคอยควบคุม เชือกที่พันธการอยู่รอบกายก็คือมือคู่นั้นของชายหนุ่ม

ฉูเจ๋อหยางเหลือบมองเป้ยฉ่ายเวยที่เดินเข้ามาใกล้ๆ จากนั้นก็ค่อยๆหันมามองผู้หญิงตรงหน้าที่เอาแต่ก้มหน้าอยู่ตลอด นิ้วมือเรียวยาวช้อนคางมนของเธอขึ้นมาเบาๆ บังคับให้เธอมองมาที่เขา แต่ว่าเธอก็ยังเมินสายตาไปทางอื่นอย่างดื้อดึง

สัมผัสนุ่มราวผ้าไหมในมือ ทำให้เขาตระหนักว่า ผิวของหญิงสาวนุ่มและลื่นมือแค่ไหน แสงจันทร์สีนวลที่สาดส่องลงบนหน้าเล็กเท่าฝ่ามือของเธอ

ยิ่งเห็นแบบนี้ยิ่งดูเป็นผู้หญิงที่งดงามล้ำค่า แถมหนักแน่นกว่าผู้ชายทั่วไปทั้งยังดื้อดึงอีกต่างหาก

เธอยอมถูกย่ำยีศักดิ์ศรี แต่ไม่ยอมบอกเรื่องทั้งหมดกับเขา

ฉูเจ๋อหยางไม่รู้ว่าควรชื่นชมจิตวิญญาณอันแรงกล้าของเธอ หรือควรหัวเราะเยาะกับความโง่เง่าของเธอดี ถ้าคนๆนั้นรู้ว่าเธอทำเพื่อเขา และถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมแบบนี้ ไม่รู้ว่าเขาคนนั้นจะเจ็บปวดแค่ไหน แต่ใจของเขากลับพอใจเป็นที่สุด

คนๆนั้นไม่ใช่หลี่จื่อเชียนแน่ๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร เขาต้องหาคนๆนั้นเจอและรู้ให้ได้ว่ามันเป็นใคร

เป้ยฉ่ายเวยรู้สึกราวกับตัวเองเป็นเนื้อบนเขียง ที่รอให้ผู้คนได้มาเลือกซื้อ มือที่อยู่ข้างกายกำแน่นโดยไม่รู้ตัว จนฝ่ามือมีเหงื่อเล็กผุดขึ้นมา

ราวกับฉูเจ๋อหยางชื่นชมสีหน้าโกรธๆแต่ขัดขืนอะไรไม่ได้ของเธอจนพอใจแล้ว จึงค่อยๆละปลายนิ้วออก เสียงทุ้มพูดอย่างไม่มีขาดหายว่า “ถอดเสื้อผ้าออก”

ร่างกายของเป้ยฉ่ายเวยสั่นไหวขึ้นเบาๆ มองแววตาเป็นประกายที่ไม่มีแม้แต่แววเสน่หาของชายหนุ่มอย่างไม่อยากจะเชื่อ ทั้งหน้าบ่งบอกแค่ให้เธอถอดเสื้อออกให้มันผ่านๆไป เห็นเธอเป็นอะไร?

เธอรู้ว่าผู้ชายตรงหน้าตั้งแต่ที่หมดรักกันแล้วเขาใจจืดใจดำมากแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่า เขาจะเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเธออย่างหน้าตาเฉยได้ถึงขนาดนี้ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิด

ไม่ใช่ว่าฉูเจ๋อหยางมองไม่เห็นความประหลาดใจกับความขมขื่นในดวงตาของเป้ยฉ่ายเวย เขาบอกตัวเองไม่ให้ใจอ่อน นี่เป็นสิ่งที่เป้ยฉ่ายเวยเลือกเองทั้งหมด เขาเคยให้โอกาสเธอแล้ว

“ถอดออก อย่าผมพูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง” เสียงของฉูเจ๋อหยางแข็งกร้าวขึ้น

เป้ยฉ่ายเวยเม้มปากแน่น ดวงตาคู่สวยจ้องมองฉูเจ๋อหยางนิ่ง ราวกับจะมองผู้ชายตรงหน้าให้ทะลุปรุโปร่ง แต่ว่าในดวงตาของเขานอกจากความเย็นชา เธอก็มองอะไรไม่เห็นเลย ไม่เลยสักนิด

นานพอสมควร เธอถึงได้เผยรอยยิ้มเยาะออกมา ไม่รู้ว่ายิ้มเยาะตัวเอง หรือยิ้มเยาะความจอมปลอมของฉูเจ๋อหยางกันแน่

ราวกับชายหนุ่มมีความอดทน เขาไม่ได้เร่งเร้าเธออีก เพียงแต่สายตาพิฆาตคู่นั้นเอาแต่จ้องมองทุกการกระทำของเธอ

เป้ยฉ่ายเวยรู้สึกราวกับหัวใจจะทะลุออกมาข้างนอก ปล่อยมือลงข้างลำตัวอย่างอ่อนล้า เอ่ยปากพูดอย่างอดทนอดกลั้น “ฉูเจ๋อหยาง ฉันขอล่ะ ไม่เอาแบบนี้ได้ไหม”

เธอใกล้จะรับไม่ไหวแล้ว

แววตาของฉูเจ๋อหยางวูบไหวนิดหน่อย จากนั้นก็ยื่นมือออกไปกระชากเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนอย่างรวดเร็ว

“เป้ยฉ่ายเวย ผมจ่ายให้คุณไปตั้งเยอะ ไม่ใช่เสียเวลามาดูคุณทำเป็นเอียงอายนะ”

เป้ยฉ่ายเวยโกรธจนกัดริมฝีปากจนเลือดออก สี่ปีมานี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนสงบสุขมาก เธอไม่เคยรู้เลยว่าฉูเจ๋อหยางจะมีด้านที่น่ากลัวแบบนี้ด้วย

ไม่ ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ แต่เป็นฉูเจ๋อหยางที่ใจร้ายมาตลอด เพียงแค่ตอนนั้นเธอไม่ได้ไปกระตุกหนวดเขาเข้า ดังนั้นเลยดูไม่ค่อยรุนแรงเหมือนตอนนี้ ตอนนี้เธอไปทำให้เขาโกรธ กลัวก็เดี๋ยวตอนกลับอวัยวะจะไม่ครบสามสิบสอง ปลายจมูกของเป้ยฉ่ายเวยได้กลิ่นเอกลักษณ์บนตัวของผู้ชายคนนี้ กลิ่นที่ทำให้เธอหวนกลับไปนึกถึงวันวาน แต่ในเวลานี้กลับทำให้รู้สึกแสบจมูก เธออยากผลักเขาออก แต่ไม่ว่าเธอจะออกแรงมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำให้เขาขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย เธอถลึงตาพูดขึ้นเสียงดัง “ฉูเจ๋อหยางฉันสำนึกผิดแล้ว เงินของคุณฉันก็ไม่ต้องการแล้ว ส่วนเงินห้าล้านนั่น ฉันจะคืนให้ก็ได้” เป้ยฉ่ายเวยพูดขึ้น “ฉันจะทำหนังสือหนี้ให้ คุณเป็นทนายไม่ใช่หรอ หนังสือหนี้ต้องได้ผลประโยชน์ทางกฎหมายแน่ๆ” ฉูเจ๋อหยางไม่ได้คลายอ้อมแขนออก กลับกันยิ่งกระชับกอดเธอให้ใกล้เข้ามาอีก เป้ยฉ่ายเวยจึงถลาเข้าไปแนบชิดอยู่กับหน้าอกของชายหนุ่ม เพื่อรักษาระยะห่างของเธอและเขาเอาไว้ เธอเลยต้องเอนหน้าไปข้างหลังตลอด “เขียนหนังสือหนี้หรอได้สิ”เป้ยฉ่ายเวยยังไม่ทันได้ดีใจอะไร ฉูเจ๋อหยางก็ยังเป็นฉูเจ๋อหยางที่ชอบเย้าแหย่คนอื่น หลังจากหยุดพูดไปสักพักก็พูดเสริมประโยคว่า “แต่ว่า ในระหว่างนี้คุณต้องอยู่กับผมนะ ผมไม่แตะตัวคุณก็ได้”

copy right hot novel pub

แสดงความคิดเห็น / รายงานปัญหาเว็บไซต์