โหมดมืด
ภาษา arrow_icon

หลงรักทนายคนเลว

บทที่ 269 เหมือนกันมาก

บทที่ 269 เหมือนกันมาก

เป้ยฉ่ายเวยไม่สนใจหนานฉิงที่กำลังกวนประสาท หันหลังกลับไปปลอบใจพนักงานที่โดนตบบอกให้เธอออกไปก่อน

พนักงานลอบมองหนานฉิงอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงพยักหน้า สิ่งที่ตามมาจากความโกรธเพียงชั่ววูบเธอที่เป็นเพียงคนธรรมดาคงรับผิดชอบไม่ไหว

“ฉันบอกแล้วหรอว่าให้เธอไปได้? เธอมาหาเรื่องฉัน แล้วก็จะไปทั้งอย่างนี้น่ะหรอ ผู้จัดการของพวกเธออยู่ไหน” หนานฉิงพูดออกมาอย่างไม่ยอมจบง่ายๆ

เธอมั่นใจว่าเป้ยฉ่ายเวยมีนิสัยยอมคน คงไม่กล้าทำอะไรเธอหรอก

ถ้าเรื่องนี้มันมุ่งเป้ามาที่เป้ยฉ่ายเวยเพียงคนเดียว เธอก็อาจจะพอกัดฟันทนไปได้ แต่ว่าครั้งนี้มันเดือดร้อนไปถึงคนอื่น ในเรื่องของศีลธรรมแล้ว เธอไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เธอเดินเข้าไปขวางหน้าหนานฉิงเอาไว้ พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “มีเรื่องอะไร ก็ให้มาลงฉัน อย่าไปทำคนอื่นเขาเดือดร้อน”

หนานฉิงประเมินท่าทางถือดีของเป้ยฉ่ายเวย ทันใดนั้นก็ยิ้มเยาะออกมา พูดขึ้นช้าๆว่า “ได้สิ ไหนเธอลองใช้มือเปล่าเก็บเศษแก้วพวกนั้นขึ้นมาซิ แล้วฉันจะปล่อยผู้หญิงคนนั้นไป”

เป้ยฉ่ายเวยก้มหน้าลงมองเศษแก้วบนพื้น ที่กำลังสะท้อนเข้ากับแสงอาทิตย์จนเกิดเป็นแสงวาววับแสบตา บนแก้วพวกนั้นยังมีรอยเลือดเปื้อนอยู่ด้วย คงจะเป็นเลือดของพนักงานคนนี้ ถ้าต้องใช้มือเก็บเศษแก้วทั้งหมดขึ้นมา

ถึงจะเก็บอย่างระมัดระวัง ก็น่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะถูกบาดอยู่ดี

เมื่อหนานฉิงเห็นท่าทีที่ดูลังเลของเป้ยฉ่ายเวย ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างผยอง “ทำไม ไม่อยากทำแล้วหรอ ถ้าเธอไม่อยากทำ ให้ผู้หญิงคนนั้นทำแทนก็ได้นะ”

คนหมู่มากที่อยู่ในร้านก็สุดที่จะทนจึงตะโกนออกมาว่า “มันจะมากเกินไปแล้ว คนที่ทำแก้วแตกเองก็คุณนะ”

“ก็ใช่ไง แต่ฉันก็มีเงินหนิ เจ๋งสุดๆไปเลยล่ะว่าไหม?”

“มีคนนิสัยแบบนี้ได้ยังไงนะ”

“หุบปาก เรื่องนี้พวกคุณมีสิทธิ์พูดด้วยหรอ?” หนานฉิงพูดขึ้นอย่างโอหัง

ทุกคนในร้านเริ่มโมโห อยากที่จะโต้เถียง แต่ทว่าก็มีธนบัตรอีกปึกที่โปรยอยู่บนอากาศราวกับฝนตก ทุกคนจึงพากันนิ่งเงียบ เพราะพวกเขาไม่มีทางใช้เงินสุ่รุ่ยสุร่ายโดยการโปรยเงินเล่นเหมือนเป็นกระดาษเหมือนที่เธอทำหรอก

“ฉันจะเก็บเอง” เป้ยฉ่ายเวยเม้มปากแล้วพูดออกมา ต้นเหตุคือเธอ ที่หนานฉิงโกรธก็เป็นเพราะเธอ เธอไม่อยากทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วย

หนานฉิงดึงเก้าอี้ออกมานั่งดู ก้มมองเป้ยฉ่ายเวยก้มตัวลงไปค่อยๆเก็บเศษแก้วขึ้นมา มีหลายครั้งที่เธอเห็นนิ้วมือของเป้ยฉ่ายเวยถูกแก้วบาด ดวงตาจึงฉายแววพึงพอใจออกมา

นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น เป้ยฉ่ายเวยต่อไปชีวิตของแกจะต้องตายทั้งเป็น ถ้าไม่ได้กำจัดแก ฉันสาบานว่าจะไม่ยอมหยุดแน่

เป้ยฉ่ายเวยทนฝืนกับความไม่สบายตัวและความเจ็บบนนิ้วมือ ค่อยๆเก็บเศษแก้วจนหมด จากนั้นมือทั้งสองข้างก็วางแนบลงกับเท้าทั้งสองข้าง หยดเลือดไหลออกมาติ๋งๆ เธอเอ่ยขึ้นราวกับไร้ซึ่งความรู้สึกเจ็บใดๆ “พอใจหรือยัง”

หนานฉิงยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน “ก็ถือว่าผ่านด่าน”

เธอเหยียดตัวลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเป้ยฉ่ายเวย เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นเยือกให้แค่เธอสองคนเท่านั้นได้ยิน “อย่าคิดว่าแค่นี้มันจะจบ เป้ยฉ่ายเวยจำเอาไว้ให้ดี ครั้งนี้เธอติดค้างฉัน”

มือทั้งสองของเป้ยฉ่ายเวยกำเข้าหากันแน่นโดยทันที สายตาเรียบนิ่งมองตรงไปด้านหน้าโดยไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร ใช่ เรื่องเมื่อวานเธอติดค้างหนานฉิง แต่ หลังจากนี้พวกเธอก็คงไม่ได้พบกันอีกแล้วล่ะ

หนานฉิงทำท่าดีดฝุ่นบนไหล่ทั้งๆที่ไม่มีฝุ่น เชิดหน้ายืดอกขึ้นเหมือนนกยูงที่หยิ่งยโส จากนั้นก็เดินจากไปอย่างวางท่าท่ามกลางสายตาไม่พอใจของคนในร้าน

“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ มือคุณมีแผลด้วย” พนักงานที่ถูกตบหน้าคนนั้นสังเกตเห็นแผลบนปลายนิ้วของเป้ยฉ่ายเวยยังคงมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด

เป้ยฉ่ายเวยก้มลงมองแผล ยิ้มมุมปากขึ้นพูดขึ้นอย่างสบายๆว่า “ไม่เป็นไรค่ะ แผลเล็กแค่นี้เอง”

“ไม่ได้นะคะ เป็นเพราะฉันทำให้คุณต้องเดือดร้อน คุณรอเดี๋ยวนะฉันจะไปเอาพลาสเตอร์มาให้” พนักงานไม่รอให้เป้ยฉ่ายเวยปฏิเสธ รีบวิ่งเข้าหลังร้านอย่างรีบร้อน

เป้ยฉ่ายเวยไม่มีทางเลือกจึงทำได้แค่รออยู่ตรงนี้ ไม่นานพนักงานก็วิ่งถือพลาสเตอร์ออกมา พูดกับเธออย่างดีใจว่า “ฉันจำได้ว่าฉันเอามาด้วย เดี๋ยวฉันติดให้นะคะ ต้องขอบคุณด้วยนะคะ คุณเรียกฉันว่าเสี่ยวชิวก็ได้”

“ฉันติดเองดีกว่าค่ะ เรื่องนี้เป็นฉันต่างหากที่ทำให้คุณต้องเข้ามาเอี่ยวด้วย” เป้ยฉ่ายเวยไม่ค่อยชินกับความเป็นกันเองของเธอนิดหน่อย จึงปฏิเสธความใจดีของเธออย่างนุ่มนวล จากนั้นก็หยิบพลาสเตอร์ขึ้นมาติดแผลเอง

เสี่ยวชิวเองก็ไม่กล้าเข้าไปช่วยเป้ยฉ่ายเวย จึงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ใช่สักหน่อย ฉันรู้ว่าเธอคนนั้นคงเป็นคุณหนูอารมณ์ร้อนที่ชอบดูถูกคนอื่นเขาไปเรื่อย ฉันอยู่ที่นี่ก็เคยเจอคนแบบนี้มาไม่น้อยแล้วล่ะค่ะ เพียงแต่ไม่เคยปะทะตัวต่อตัวแบบครั้งนี้ วันนี้คงถึงคราวซวยฉันล่ะมั้งคะ”

เป้ยฉ่ายเวยขำออกมาแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร

แต่จู่ๆเสี่ยวชิวก็พูดออกมาว่า “คุณนี่ก็หน้าตาดีจริงๆนะคะเนี่ย เหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่ฉันรู้จักมากๆ”

“หรอคะ” เป้ยฉ่ายเวยไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

เสี่ยวชิวคิดว่าเป้ยฉ่ายเวยไม่เชื่อ จึงพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “จริงๆนะคะ เพื่อนฉันคนหนึ่งเหมือนคุณมากๆ ถ้ามีเวลาก็อยากแนะนำคุณสองคนให้รู้จักกันอยู่”

เธอไม่ได้โกหกจริงๆ เพื่อนของเธอกับผู้หญิงคนนี้เหมือนกันมากๆ แต่ถ้าดูจากนิสัยใจคอแล้วคุณผู้หญิงตรงหน้าดูท่าจะดีกว่าอยู่มาก

“อืม ไว้ครั้งหน้าแล้วกัน ฉันยังมีธุระต่อต้องขอตัวก่อนแล้วกัน ขอบคุณสำหรับพลาสเตอร์ด้วยนะคะ” เป้ยฉ่ายเวยหยิบเอาร่มที่ลืมทิ้งเอาไว้ขึ้นมา จากนั้นก็บอกลากับเสี่ยวชิว

เสี่ยวชิวพูดขึ้นอย่างเสียดายว่า “ก็ได้ค่ะ ครั้งหน้าคุณต้องมาให้ได้นะคะ”

“อื้ม” เป้ยฉ่ายเวยตอบรับจากนั้นก็เดินออกมาจากร้านกาแฟ

เสี่ยวชิวยังคงยืนอยู่ที่เดิมพูดกับตัวเองเบาๆว่า “บนโลกใบนี้มีคนหน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ด้วยหรอเนี่ย ถ้าได้เห็นยืนอยู่ข้างๆหมิงจูจริงๆล่ะก็ คงคิดว่าเป็นพี่สาวที่หายไปหลายปีของหมิงจูแล้วนะเนี่ย”

เมื่อเป้ยฉ่ายเวยเดินออกมาจากร้านกาแฟ ก็เหลือบมองดูสีท้องฟ้า ก็พบว่าฟ้าค่อยๆมืดลงแล้ว เมื่อคิดได้ว่าเธอบอกกับทุกคนว่าจะออกมาทำธุระ จึงคิดที่จะไปซื้อของจำเป็นที่ห้างสรรพสินค้ากลับไปด้วย ไม่อย่างนั้นคงหาคำอธิบายดีๆไม่ได้แน่

ในตอนนี้เงินที่เธอมีอยู่นอกจากจะเป็นเงินห้าล้านของฉูเจ๋อหยางแล้ว ก็ยังมีเงินที่เธอเก็บอดออมเอาไว้ ทั้งเงินที่หามาได้จากการทำงานอย่างหนัก ก็ถือได้ว่าเป็นเงินที่ไม่ได้น้อยเลยทีเดียว จากมุมมองคนนอกก็คงถือได้ว่าเธอเป็นคนรวยคนหนึ่ง

แต่กับพวกผลิตภัณฑ์ยานำเข้าที่มันแพงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ยานำเข้าราคาก็หลายพันจนเกือบถึงหมื่น ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าต้องใช้เยอะเท่าไหร่เธอถอนหายใจออกมาอย่างท้อแท้เงินของฉูเจ๋อหยางที่เหลือก็ต้องเก็บไว้เป็นค่าพักฟื้นหลังจากรุ่ยรุ่ยผ่าตัดเสร็จ เงินของเธอก็ต้องเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไม่รู้ว่าราคาสินค้าที่ต่างประเทศจะถูกหรือแพง ประหยัดได้ก็ควรที่จะประหยัดนอกจากเงินพวกนี้แล้ว อันที่จริงเป้ยฉ่ายเวยยังมีบัตรอีกหนึ่งบัญชี บัตรที่ไม่เคยหยิบออกมาใช้ มันเป็นบัตรที่ฉูเจ๋อหยางเอาไว้ให้เธอได้ใช้จ่ายหลังจากเธอและเขาคบกันข้างในบัตรมีเงินฝากประจำเป็นค่าใช้จ่ายอยู่จำนวนมาก เพราะนอกจากจะเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแล้ว บางครั้งยังมีค่าเสื้อผ้าและค่าเครื่องสำอางที่เขาซื้อให้เธอเธอไม่เคยหยิบมาใช้เลยสักครั้ง สี่ปีมานี้ ค่าใช้จ่ายต่างๆ อันที่จริงแล้วมันมาจากเงินเดือนของเธอเอง แม้มันจะไม่ได้หามาได้ง่ายๆเลย แต่ตอนนั้นเธอก็รู้สึกพอใจกับมันอย่างถึงที่สุดเป้ยฉ่ายเวยรู้ ว่าสี่ปีมานี้ ฉูเจ๋อหยางฝากเงินสองล้านเข้าบัญชีนั้น สำหรับในช่วงที่ยังปากกัดตีนถีบ ให้มาปีละห้าแสน ก็ถือว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลแล้วเธอเคยคิดว่ารอให้วันใดวันหนึ่งที่ฉูเจ๋อหยางรักเธอ เธอจะได้บอกกับเขาอย่างภูมิใจ ว่าเงินในบัตรนั้นเธอไม่เคยหยิบออกมาใช้เลยสักครั้ง เพราะว่าเธอรักที่เขาเป็นเขา ไม่ใช่เงินทองเหล่านี้แต่น่าเสียดาย ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็แค่เธอที่ฝันไปเองคนเดียว เหมือนฟองสบู่ใต้แสงอาทิตย์ที่แสนจะเปราะบาง เพียงแค่สัมผัสก็แตกสลายเสียแล้ว

copy right hot novel pub

แสดงความคิดเห็น / รายงานปัญหาเว็บไซต์