บทที่465 ฝีมือใคร
หลี่จื่อเชียนรู้สึกใจไม่ดี รู้สึกเหมือนว่าคนตรงหน้าเป็นหมาป่าเจ้าเล่ห์กำลังกระดิกหางระริก ล่อเพื่อให้คนตกหลุมพรางของเขาโดยไม่ตั้งใจ
หลี่จื่อเชียนหรี่ตาลง “เกี่ยวกับเป้ยฉ่ายเวยรึ”
“แน่นอน!” ฉูเจ๋อหยางพยักหน้า
หัวสมองหลี่จื่อเชียนหมุนติ้ว ราวกับจะหายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อคิดถึงบางอย่าง
สายตาเขาเปลี่ยนเป็นประหลาดใจมองไปยังฉูเจ๋อหยาง
ดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่โดยมากแล้วก็อยากจะถามเสียมากกว่า
ฉูเจ๋อหยางยิ้ม พูดด้วยเสียงเกทับ “ผมเดาไว้ไม่ผิด คนที่ผมอุ้มไว้วันนั้นความจริงก็คือเป้ยฉ่ายเวย แต่คุณไม่อยากรู้หรอว่าทำไมผมถึงได้พาเธอมาที่โรงพยาบาล ไม่อยากรู้หรอว่าเธอต้องเจออะไรกับอะไรมาบ้าง ไม่อยากรู้เรอะว่าใครเป็นคนทำ”
หลี่จื่อเชียนหน้าซีดขาว ทุกคำถามเหมือนกับทุ่มกับภูเขาใส่เขาทั้งลูก เขายืนนิ่งเป็นบื้อใบ้
จู่ๆ เขาก็ไม่คิดอยากจะได้ยินคำตอบของคำถามที่เขาว่ามา
เขากลืนน้ำลาย หลี่จื่อเชียนหลบสายตา หลับตาลง ปล่อยให้ความคิดต่างๆพรั่งพรูเข้ามา
“ฉูเจ๋อหยาง เรื่องพวกนี้ผมรู้หมดแล้ว ผมไม่ต้องการให้คุณมาย้ำอีกรอบ สำหรับว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ผมจะทำการตรวจสอบด้วยตัวเอง ไม่ต้องพยายามเข้ามาแทรกแซง!” หลี่จื่อเชียนบีบนิ้วแน่น กล้ามเนื้อที่ปลายแขนกระตุก
ฉูเจ๋อหยางมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ ในขณะที่บรรยากาศนิ่งเงียบอยู่นั้น เขาก็ประชดประชันขึ้นมา
“คุณมันก็แค่ไอ้ขี้ขลาดไม่กล้ายอมรับความจริง เธอตามคุณมาโรงพยาบาลแต่หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องกับเธอ และรถคันนั้นถ้าผมจำไม่ผิด ก็เป็นของคุณใช่มั๊ยล่ะ บนโลกนี้มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องของคุณ แต่ว่าช่างบังเอิญ ที่คนเหล่านั้นกลับรู้ว่า ณ ตอนนั้นเป้ยฉ่ายเวยกำลังขับรถของคุณออกไป…” ฉูเจ๋อหยางพูดชี้เป้า
“พอได้แล้ว! ผมบอกแล้วไงว่าเรื่องนี้ผมจะตรวจสอบเอง ไม่ต้องรบกวนทนายฉูมาช่วยหรอก อีกอย่าง กุเรื่องพูดจาใส่ร้ายป้ายสีก็เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ผมเชื่อว่าทนายฉูเองก็คงจะไม่ทำอะไรฝ่าฝืนกฎหมายหรอกใช่มั๊ย” หลี่จื่อเชียนกัดฟัน เขาเงยหน้าขึ้นมอง พร้อมตะคอกเสียงดัง
เพื่อทำให้ตัวเองมีความมั่นใจยิ่งขึ้น ทั้งที่ใจจริงก็ละอายใจ ไม่อาจทำเป็นไม่รู้ได้
แต่ว่าฉูเจ๋อหยางรู้อยู่แก่ใจ เขาต้องสงสัยบ้างอยู่แล้วล่ะ
ฉูเจ๋อหยางกล่าว “คุณกลัวว่าถ้าเป้ยฉ่ายเวยรู้เรื่องแล้วจะไม่ใยดีคุณอีก น่าเสียดายนะ ที่ดูเหมือนเธอคงพอเดาเรื่องได้อยู่แล้ว”
“ผมไม่เชื่อ! เวยเวยไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่อย่างนั้นเธอจะถูกหนานฉิงทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ยังไง เธอไม่มีวันยังสนใจคุณอยู่แน่นอน” หลี่จื่อเชียนลูบหน้าตัวเอง พยายามทำให้ตัวเองสงบจิตสงบใจลง “ยิ่งไปกว่านั้น ทุกอย่างตอนนี้ก็ล้วนแต่เป็นคำพูดของคุณ ไม่มีหลักฐานอะไรทั้งนั้น แม่ผมป่วยอยู่ พ่อผมก็ไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจเรื่องพวกนี้ ผมเชื่อว่าพวกท่านเป็นพลเมืองที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้แน่นอน”
“หลักฐานเรอะ ทนายจะพูดอะไรก็ต้องอ้างอิงจากหลักฐานอยู่แล้ว คุณอยากดูมั๊ยล่ะ” ฉูเจ๋อหยางยิ้มมุมปาก รู้สึกใจชื้นขึ้นมา
หลี่เจื่อเชียนใจเต้นรัว เขาหรี่ตาลง “ผมบอกแล้ว ฉูเจ๋อหยางผมจะตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ผมจะไม่วันเชื่อฝั่งคุณอยู่ฝ่ายเดียว!”
ฉูเจ๋อหยางไม่พูดอะไร เขายืดตัวสูงขึ้น ทำให้รู้สึกว่าช่างน่าเสียดาย
หลี่จื่อเชียนเกรี้ยวกราด เขาชูคอชันขึ้น “คุณคอยดูเถอะ ผมจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่างต่อหน้าเวยเวย บอกเธอด้วยว่ามันไม่ใช่อย่างที่คุณพูด!”
และแล้ว เขาก็ไม่รอให้คนตอบอะไร พูดจบก็ทะยานหายไปอย่างรวดเร็ว
ฉูเจ๋อหยางหุบยิ้ม
กลัวจนหัวหดเลยรึ
เหอะ!
“ตาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ คุณนี่มันร้ายจริงๆ พูดสองสามคำก็ทำให้ศัตรูยืนไม่ติดได้!” เจี่ยงเสี่ยวเล่อตาค้างยืนอึ้ง
ฉูเจ๋อหยางชำเลืองมองเขาน้อยๆ “คนคุ้มกันเยอะขนาดนี้ยังปล่อยให้เกิดเรื่องกับเธอได้ ลูกน้องคุณพวกนั้นน่ะให้เงินเดือนมันกินฟรีๆหรือยังไง”
“เรื่องนี้...มันเกิดขึ้นกะทันหัน พวกเขาก็ไม่ทันคาดคิดน่ะ อีกอย่างพวกนั้นก็อยากใช้โอกาสนี้ให้คุณได้กลายเป็นฮีโร่ด้วย ดังนั้นก็เลยไม่ได้ลงมือจัดการเอง ไม่คิดเลย” เจี่ยงเสี่ยวเล่อยิ้มยิงฟัน ทำโบกไม้โบกมือ “ผมให้บทลงโทษเขาไปแล้ว ครั้งหน้าจะไม่ให้มีข้อผิดพลาดอีก”
ภาพเป้ยฉ่ายเวยนอนนิ่งอยู่บนพื้นปรากฏขึ้นต่อสายตาฉูเจ๋อหยางอีกครั้ง ใบหน้านั้นว่างเปล่าไร้แม้แต่สีเลือด ทุกครั้งที่นึกถึงฉากนั้นขึ้นมา หัวใจก็เจ็บแปลบทุกที
“เจี่ยงเสี่ยวเล่อ ถ้าหากว่ามีครั้งหน้าอีก คุณได้กลับไปขายเนื้อแน่!” เสียงฉูเจ๋อหยางพูดอย่างเย็นยะเยือก
เจี่ยงเสี่ยวเล่อสั่นสะท้าน อยู่ๆก็รู้สึกว่าอากาศรอบๆเย็นเฉียบขึ้นมาในทันใด
ฉูเจ๋อหยางคนนี้ถึงแม้ว่าจะปฏิบัติต่อพวกเขาเฉกเช่นพี่น้อง แต่ลำดับชั้นสูงต่ำก็ยังมีอยู่ มีเรื่องสถานภาพที่แตกต่างกันอยู่ในใจ
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยพูดคำที่เย็นชาอันน่าผิดหวังเช่นนี้มาก่อน
สิ่งนี้ทำให้เขาต้องทำความเข้าใจใหม่ว่า เป้ยฉ่ายเวยมีความสำคัญต่อพี่ใหญ่ของเขามากเพียงใด
“รับรองว่าจะไม่มีครั้งหน้า!” เจี่ยงเสี่ยวเล่อตัวยืนตรงเผง
ฉูเจ๋อหยางอืมเบาๆก่อนจะเดินจากไป
หลี่จื่อเชียนเดินลงบันไดไปพร้อมความครุ่นคิด
คุณแม่หลี่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าเป็นเนื้องอกที่สมอง แต่ว่าโชคดีที่ก้อนเนื้อนั้นเป็นเนื้อดี ยิ่งตรวจพบเร็วก็ยิ่งดี
เดิมนี่เป็นเรื่องที่ทำให้หลี่จื่อเชียนรู้สึกยินดี แต่ว่าตอนนี้ เมื่อในหัวถูกเรื่องอื่นครอบงำอยู่ ใจก็ไม่สามารถยินดีใดๆได้
“จื่อเชียน ลูกมาแล้ว เสี่ยวหย่าเอาอาหารมาเร็ว ลูกมาทานอะไรซะหน่อย” หลายวันนี้คุณแม่หลี่มีลูกชายคอยอยู่เป็นเพื่อน หลายคนก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องเป้ยฉ่ายเวย คุณแม่หลี่เบิกบานใจเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอเห็นเขาเพียรมาเฝ้าไข้ และไม่ได้พาเป้ยฉ่ายเวยมาให้เธอหงุดหงิดใจเสียอารมณ์ด้วย คุณแม่หลี่ถูกสปอยสุดๆ
เสี่ยวหย่าจัดการ เธอยิ้มและยกข้าวปลาอาหารมาวางให้อย่างดี มีกับข้าวหลายอย่างช่างอุดมสมบูรณ์
“พี่จื่อเชียน พวกนี้คุณอาที่ครัวบ้านเราทำมาให้เป็นพิเศษเลย ซุปนี้ตุ๋นเป็นพิเศษอยู่หลายชั่วโมง พี่ลองชิมดูนะ” เธอเตรียมกับข้าวและซุปไว้ให้พร้อม
คุณพ่อหลี่ตอนนี้ก็นั่งอยู่ข้างๆ เขามองเสี่ยวหย่าอยู่ครู่หนึ่ง ผู้หญิงอย่างนี้สิถึงจะคู่ควรกับลูกชายบ้านเรา เขาเหลือบมองหลี่จื่อเชียน เห็นลูกยังยืนนิ่งหน้าไม่รับแขกอยู่ที่หน้าประตู คุณพ่อหลี่จึงพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “ยืนทำบื้ออะไรอยู่ รีบมากินข้าว!” หลี่จื่อเชียนหันไปมองพ่อ ก่อนจะเดินเข้าหาหลายก้าว “พ่อ ผมมีเรื่องอยากจะถามพ่อ” คุณพ่อหลี่ขมวดคิ้ว ท่าทีของลูกชายดูช่างน่าอึดอัดใจ “มีเรื่องอะไรทานข้าวเสร็จค่อยพูด” คุณพ่อหลี่ขมวดคิ้ว หลี่จื่อเชียนกลืนน้ำลายเล็กน้อย “เรื่องสำคัญครับ” “แกยังมีเรื่องอะไรสำคัญอีก หรือว่า…” เรื่องสำคัญสำหรับเขา ก็คิดว่าน่าจะมีแต่เรื่องของผู้หญิงคนนั้นสินะ คุณแม่หลี่รีบไกล่เกลี่ย “ถ้าจื่อเชียนมีเรื่องสำคัญก็ให้ลูกพูดออกมาเถอะ อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย” ถึงคุณพ่อหลี่จะไม่ชอบใจแต่ในเมื่อคุณแม่หลี่ยอมให้พูด เขาก็ได้แต่ยอม เขาพูดอย่างบันดาลโทสะ “พูดตรงนี้แหละ คนกันเองทั้งนั้น” หลี่จื่อเชียนเหลือบไปมองเสี่ยวหย่า เขาเบ้ปากและไม่พูดอะไร ตะเกียบในมือคุณพ่อหลี่กระแทกลงกับโต๊ะในทันที “แกทำสายตาอะไรแบบนั้น ทำไม เรื่องสำคัญระดับชาติหรือยังไงถึงให้เสี่ยวหย่ารู้ด้วยไม่ได้”
copy right hot novel pub