บทที่467 ไม่ชอบผู้หญิง
เรื่องที่เป้ยฉ่ายเวยเข้าโรงพยาบาล ผ่านไปนานมากกว่าอวี๋ซือซือจะรู้เรื่อง ก่อนเป้ยฉ่ายเวยจะออกจากโรงพยาบาลหนึ่งวัน หลังจากที่อวี๋ซือซือทราบข่าว เธอก็ค้อนถังฉีตง ก่อนจะรีบร้อนพุ่งไปยังโรงพยาบาล
หลังจากซื้อผลไม้และขึ้นไป ก่อนอื่นเลยเธอก็ผงะกับความเว่อร์วังอลังการของห้องวีไอพีที่โรงพยาบาลของฉูเจ๋อหยาง แต่พอเข้าไปถึงในห้องผู้ป่วย เมื่อเห็นรอยแผลฟกช้ำตามตัวเป้ยฉ่ายเวยก็รู้สึกปวดใจแสนจะประมาณ
“นี่เป็นฝีมือใคร ใช่นังตัวแสบหนานฉิงนั่นอีกรึเปล่า” อวี๋ซือซือพูดด้วยความขุ่นเคือง เดินไปก็กำกำปั้นไปด้วย
เป้ยฉ่ายเวยจับแขนเธอเอาไว้ “ไม่ใช่ไม่ใช่ เธออย่าเพิ่งฉุนเฉียว แผลนี่เรื่องเล็ก ไม่ได้สลักสำคัญอะไร”
“ไม่สลักสำคัญอะไร เป้ยฉ่ายเวย นิสัยเธออย่างนี้เมื่อไหร่จะเปลี่ยนได้ซะที จะเก็บความคับข้องใจไว้ให้ได้คุณธรรมอะไรขึ้นมา เธอนี่มันทำไมถึงพูดไม่ฟังอย่างนี้นะ” อวี๋ซือซือหงุดหงิดอยากจะเหวี่ยงใส่ แทบทนไม่ไหวที่จะเขกหัวเธอ
เป้ยฉ่ายเวยยิ้มอย่างซื่อๆด้วยหัวใจอันอบอุ่น
“วางใจเถอะ เวลาที่ต้องเข้มแข็งฉันก็จะเข้มแข็ง ซือซือ เธอนี่จริงๆเลย ขอบใจนะ!” เป้ยฉ่ายเวยพูดกับอวี๋ซือซือ
อวี๋ซือซือพ่นลม พร้อมสั่นร่าง “ทำไมอยู่ดีๆมาอารมณ์ไหน พูดจาน่าขนลุกคลื่นไส้ จริงๆเลย ฉันไม่ได้ชอบผู้หญิงนะ!”
เธอพึมๆพำๆอยู่นั่น เป้ยฉ่ายเวยยิ้มอ่อน เหมือนเป็นการขอโทษ
ฉูเจ๋อหยางพารุ่ยรุ่ยเข้ามา สีหน้าอวี๋ซือซือมึนตึง
เธอยังฝังใจกับเรื่องครั้งล่าสุดที่ถูกฉูเจ๋อหยางสั่งให้คนจับโยนออกมานอกคฤหาสน์
ฉูเจ๋อหยางก็ไม่ได้สนใจเธอ สายตามุ่งไปข้างหน้า เขานำซุปที่ใช้เวลาตุ๋นอยู่หลายวันและเอามาส่งให้เป้ยฉ่ายเวยทานทุกวันยื่นให้ตรงหน้าเป้ยฉ่ายเวย “ทานข้าว”
อวี๋ซือซือจ้องมองฉูเจ๋อหยางด้วยความประหลาดใจ
เธออยากจะพูดประชดอะไรสักอย่าง แต่พอเหลือบไปเห็นรุ่ยรุ่ย ที่สุดแล้วก็ได้แต่เก็บคำพูดนั้นเอาไว้
แต่ว่าการที่ไม่พูดก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่แสดงออกทางสีหน้านะ
อวี๋ซือซือคำรามเสียง สีหน้าบูดเบี้ยวน่าเกลียด
ฉูเจ๋อหยางก็ไม่ได้ใส่ใจ เขายังคงตระเตรียมกับข้าวไปอย่างเงียบๆ จากนั้นก็เอ่ยปากขึ้น “รุ่ยรุ่ยตอนบ่ายอยู่กับคุณที่นี่นะ ผมมีธุระ”
เป้ยฉ่ายเวยพยักหน้าเป็นการตอบรับให้เขาวางใจ
ตอนที่ฉูเจ๋อหยางปิดประตูไปแล้ว อวี๋ซือซืออดใจไม่ไหวที่จะพูดออกมา “เรื่องฉูเจ๋อหยางนี่มันยังไงกันแน่ ทำไมอยู่ดีๆเขาก็มาทำดีกับเธอแบบนี้ล่ะ”
เป้ยฉ่ายเวยส่ายหัว เธอไม่อยากจะพูดอะไรมาก
ในความเป็นจริงแล้วเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ทานข้าวเถอะ มีเรื่องอะไรทานข้าวเสร็จแล้วก็ค่อยว่ากัน” เป้ยฉ่ายเวยโบกมือ
เมื่อเห็นดังนั้น อวี๋ซือซือก็ได้แต่เม้มปาก ไม่อภิปรายหัวข้อนี้ต่อไป
ฉูเจ๋อหยางไปที่ออฟฟิต หลินไห่รีบยื่นเอกสารให้เขาทันที “ทนายฉู นี่เป็นข้อมูลที่คุณเสิ่นเพิ่งจะส่งมาให้เมื่อครู่นี้ คุณลองดูก่อน วันมะรืนนี้ก็จะถึงเวลาขึ้นศาลแล้ว คุณเสิ่นหวังว่าเมื่อถึงตอนนั้นคุณจะสามารถไปกับคนของทางบริษัทเขาได้”
คอยประกบเขาอย่างนั้นรึ
ฉูเจ๋อหยางหัวเราะดังหึ
“บอกคุณเสิ่นว่าผมไปแน่” ฉูเจ๋อหยางพูดเสียงดัง
หลินไห่เพิ่งจะออกไป เฉียวเจิ้นหลีก็เคาะประตูก้าวเข้ามา
“มีเรื่องอะไร” ฉูเจ๋อหยางเงยหน้าขึ้นมอง
เฉียวเจิ้นหลีคลายหูกระต่ายบริเวณปกเสื้อ เขาไม่ค่อยจะคุ้นชินกับมันสักเท่าไหร่ “ตรวจสอบพบอะไรบางอย่าง คุณอยากดูรึเปล่า”
ฉูเจ๋อหยางมองเขาด้วยความสงสัยพร้อมสายตาที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ก่อนจะรับมา
“ดูเหมือนว่าเสิ่นลั่งจะยังไม่ตายใจนะ” ฉูเจ๋อหยางหุบยิ้ม
เฉียวเจิ้นหลีพยักหน้า “ตอนที่ลิ่วเอ่อร์ปรากฏตัวที่สำนักของรองผู้อำนวยการหนานผมก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ คนคนนี้ หรือว่าถูกส่งไปรับใช้ ส่งไปฆ่า แต่เขากับหนานเทียนหยางตอนนี้ดูแล้วเหมือนว่าถูกส่งไปเป็นสปายเสียมากกว่า”
“หนานเทียนหยางไม่ใช่คนโง่ เขาสอดส่องลิ่วเอ่อร์อย่างระมัดระวังแน่ ถ้าหากว่ามีหลักฐานเมื่อไหร่ก็คงหาทางรับมือเขาในทันที” ฉูเจ๋อหยางสายตาอ่อนลง
“แล้วลิ่วเอ่อร์ล่ะ” เฉียวเจิ้นหลีเลิกคิ้ว
ฉูเจ๋อหยางชี้นิ้ว “มันมีชีวิตอยู่บนโลกนี้นานเกินไปแล้ว!”
เฉียวเจิ้นหลีนิ่งไป มีประกายตาแห่งความกระหายเลือด “ทราบแล้ว!”
ทั้งสองเป็นอันเข้าใจตรงกัน
อีกสองวันก็จะถึงวันขึ้นศาลแล้ว ฉูเจ๋อหยางคาดว่าเสิ่นลั่งคงจะมีการเคลื่อนไหว ยิ่งต้องตรวจสอบสถานที่ที่จะทำการแลกเปลี่ยนกับว่านต้าเผิง ดังนั้นจึงยุ่งวุ่นวายกันน่าดู
โชคดีที่เป้ยฉ่ายเวยมีรุ่ยรุ่ยคอยเฝ้า อวี๋ซือซือก็คอยมาหาทุกวัน ทำให้เธอสุขใจอยู่ไม่น้อย
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่เป้ยฉ่ายเวยออกจากโรงพยาบาล อวี๋ซือซือก็รีบมาถึงก่อนเพื่อรับตัวเธอออกไป
ตลอดทางก็มีเจี่ยงเสี่ยวเล่อผู้ที่รับผิดชอบคอยอารักขาความปลอดภัยตามติดไปด้วย
ที่จริงไม่จำเป็นต้องให้เขาออกโรงด้วยตัวเอง แต่ว่าฉูเจ๋อหยางไม่ต้องการให้มีเรื่องอะไรผิดพลาด เขาจึงต้องการให้เจี่ยงเสี่ยวเล่อมาคุ้มกันด้วยตัวเอง
“แม่ครับ คุณอาจื่อเชียนนี่” รุ่ยรุ่ยดึงมือเป้ยฉ่ายเวยเอาไว้ นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้เธอสังเกตเห็นหลี่จื่อเชียน
เป้ยฉ่ายเวยประหลาดใจ เธอหันไปมองก็เห็นหลี่จื่อเชียนยืนอยู่ตรงบันไดไม่ห่างนัก เขามองเธอด้วยสายตาลุกเป็นไฟ
เป้ยฉ่ายเวยกัดริมฝีปาก เธอรู้สึกแปลกใจ
“เวยเวย ผมอยากคุยกับคุณ” หลี่จื่อเชียนก้าวไปข้างหน้าสองก้าว
เขากวาดตามองไปรอบๆเธอ ในใจนั้นรู้สึกเจ็บแปลบ
เธอผอมลงไปมาก ทั้งตัวดูซีดเซียว แต่ว่าแววตาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง
นั่นเป็นเพราะอยู่กับฉูเจ๋อหยางรึ หรือว่าเพราะรุ่ยรุ่ย
หลี่จื่อเชียนอดคิดมากไม่ได้
อวี๋ซือซือไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ เธอเดินขึ้นหน้าไปมองซ้ายทีขวาที สุดท้ายก็จ้องเป้ยฉ่ายเวยอย่างลังเลก่อนจะพูดว่า “ถ้าเขามีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ เธอก็ไปคุยซะหน่อยเถอะ รุ่ยรุ่ยฝากฉันไว้ก็ได้”
เป้ยฉ่ายเวยพยักหน้า เธอลูบหัวรุ่ยรุ่ยและเดินไปข้างๆหลี่จื่อเชียน
“ขอโทษด้วยเวยเวย ผมไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทำให้คุณตกอยู่ในอันตราย ผมขอโทษจริงๆ” หลี่จื่อเชียนพูดขอโทษ สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างมหันต์
เป้ยฉ่ายเวยจะบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่ได้ ตอนที่มาถึงโรงพยาบาลหลายวันแรก เธอนอนไม่หลับอยู่หลายวัน เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เธอมักจะฝันน่ากลัวถึงคนเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
ถึงตอนนี้จะดีขึ้นบ้างแล้ว แต่เธอก็ไม่ต้องการรำลึกถึงเรื่องเลวร้ายนั้นอีก เธอได้แต่ส่ายหัวและพูดว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ ฉันรู้ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วฉันกลับก่อนนะ รุ่ยรุ่ยรอฉันอยู่” “ช้าก่อน!” หลี่จื่อเชียนคว้ามือเธอเอาไว้ “เวยเวย เรา...เรื่องการแต่งงาน…” “จื่อเชียน ฉันรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ควรตำหนิคุณ แต่ว่า ฉันอยากจะถามคุณหน่อย คุณรู้รึเปล่าว่าเรื่องที่ฉันถูกลักพาตัวไปก่อนหน้านี้เป็นฝีมือใครกัน” หลี่จื่อเชียนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เขาไม่กล้าสบสายตาเธอ ผ่านไปนานก่อนที่เขาจะพยักหน้าอย่างยากลำบาก “รู้” เป้ยฉ่ายเวยนิ่งไปในทันที เธอไม่คิดว่าเขาจะรู้จริงๆ ก่อนหน้านี้เธอแค่รู้สึกอึดอัด รู้สึกน้อยใจ อยากจะพูดออกมา แต่ว่าก็ลังเลที่จะพูด แต่ว่าไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะรู้อยู่แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ใจเธอจึงตัดสินใจแน่วแน่เธอต้องการพูดออกมาให้ชัดเจน “ถ้าอย่างนั้นคุณว่าเราควรจะทำยังไงล่ะ” ไม่ใช่ในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าเป็นในฐานะคู่หมั้นล่ะก็ เขาจะทำยังไง หลี่จื่อเชียนกัดฟัน เขาจุกจนถึงลำคอ “เวยเวย ผมจะพยายามชดเชยให้กับคุณให้ดีที่สุด” เป้ยฉ่ายเวยจ้องเขานิ่งงัน สายตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
copy right hot novel pub