โดยเฉพาะเหล่าคุณหนู สตรีที่อยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมของการปฏิบัติตามด้านการศึกษาเป็นที่แพร่หลายอย่างกว้างขวาง
ที่เมืองหลวงแห่งนี้ สถาบันการศึกษที่ดีสุดก็คือโก๋วจื่อเจี้ยน อาจกล่าวได้ว่าเป็นสถาบันที่ดีที่สุดในแคว้น เทียบเท่ากับมหาวิทยาลัยปักกิ่งชิงฮว่าแห่งเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ในยุคสมัยของนาง
แต่เมื่อใดก็ตามที่ครอบครัวสามารถจับจ่ายได้ ไม่มีใครไม่อยากให้ลูกของตนเองเข้าไปเรียนที่โก๋วจื่อเจี้ยน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เจ้าหน้าที่ข้าราชการขั้นผู้ใหญ่ในราชสำนัก ในเมืองหลวง ถ้าหากบุตรของตนยังไม่เคยได้เข้าไปร่ำเรียนในโก๋วจื่อเจี้ยน และยังสามารถสอบผ่านได้อย่างราบรื่น
ชายผู้นั้นก็คือลูกผู้ลากมากดีมีเงินในสายตาของผู้คน หมายถึงผู้ที่ไม่มีวิชาความรู้ไม่มีความสามารถแต่ที่บ้านก็ยังมีตำแหน่งของบิดา มีฐานะคอยสนับสนุน
แต่ถ้าหากผู้หญิงไม่สามารถสอบผ่านก็เท่ากับไร้ความสามารถไร้คุณธรรม
ผู้มีเกียรติบางครอบครัวในตอนที่พิจารณาลูกสะใภ้ ล้วนแต่พิจารณาจากด้านฝ่ายหญิง
ผลคะแนนของโก๋วจื่อเจี้ยนเป็นหนึ่งในเงื่อนไขหลักที่สำคัญในการอ้างอิง
ถ้าหากหญิงสาวผู้นั้นได้รับผลคะแนนของโก๋วจื่อเจี้ยน ดีที่สุด นั่นก็เท่ากับเป็นการเพิ่มมูลค่าของสินสอดทองหมั้นให้มี มูลค่าสูง ทำให้ผู้คนเห็นความสำคัญไม่หยุดที่จะรอ
แต่ก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าได้รับการประเมินที่ไม่ดีจากโก๋วจื่อเจี้ยน หรือไม่สามารถผ่านการทดสอบครบวรจรของโก๋วจื่อเจี้ยนได้
เช่นนั้นแล้วถึงแม้ว่าผู้หญิงจะตกลงหมั้นหมายไปแล้ว ครอบครัวฝ่ายสามีก็สามารถใช้สิ่งนี้มาเป็นเหตุผลใน การยื่นเรื่องขอฝ่ายหญิงถอนหมั้นได้
และถ้าถอนหมั้นเยี่ยงนี้ แม้ว่าจะเป็นราชวงศ์ ก็ยังต้องยอมรับ
เมื่อฟังคําเหล่านั้นจบ ลึกๆในใจของคังเสว่มี่ก็รู้สึกว่านางไม่เข้าใจตรงไหนของความหมายทั้งหมด
ไม่แปลกเลยว่าติงเช่อเฟยทำไมถึงพูดเรื่องนี้กับท่านอ๋องคังขึ้นมา
ที่พูดมาทั้งหมดในที่สุดจุดประสงค์ก็คือคำพูดในประโยค สุดท้ายนี้เอง
รอให้นางสอบไม่ผ่าน หรือทำความผิดอันใดก็ตามที่ฝ่าฝืนกฎตอนอยู่ที่โก๋วจื่อเจี้ยน เพื่อให้ไป๋หลี่รุ่ยมีเหตุผลที่ชัดเจนพอในการขอยื่นเรื่องถอนหมั้น เมื่อนั้นนางก็ถือได้ว่าประสบผลสำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว
ท่านอ๋องคังเห็นนางไม่พูดอันใดก็คิดว่าคังเสว่มี่จะเข้าใจผิดคิดว่าติงเช่อเฟยนั้ยมีจุดมุ่งหมายอื่นจึงพูดเพื่อปลอบใจนาง
“เสว่มี่ บัดนี้พ่อได้พิจารณาแล้ว ที่ติงเช่อเฟยพูดก็ไม่ผิด
ถึงแม้ว่าอดีตพระราชาจะมีพระราชโองการ ให้เจ้าแต่งกับองค์รัชทายาทเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ อย่างแน่นอน
แต่ว่าไปอยู่ที่โก๋วจื่อเจี้ยนไปเรียนรู้เอาความรู้เพิ่มเติม สำหรับเจ้าแล้วในวันข้างหน้าล้วนแต่มีประสิทธิ์ภาพ ไม่มีอันตราย...... "
“ข้าไม่อยากไป” คังเสว่มี่ โบกมือ ปฏิเสธอย่างรวดเร็วอย่างตรงไปตรงมา
ถึงแม้ว่าการเรียนหนังสือสำหรับนางจะไม่ใช่เรื่องยากอันใด ตั้งแต่ประถมศึกษาไปจนถึงมัธยมต้นและมัธยมปลาย
ต่อมายังต้องทั้งสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ในช่วงชีวิตของนาง ยังต้องเรียนรู้เทคนิคและทักษะความสามารถทุกอย่างที่จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับสายลับ
พูดได้เลยว่าแม้ตายก็มิอาจหยุดเรียนรู้ได้
อยากจะข้ามผ่านไปอยู่ในจุดที่สามารถใช้ชีวิตแบบหญิงสาวทั่วไปในยุคโบราณที่ กินดื่มเล่นสนุกผ่านไปในแต่ละวัน
ใครจะไปรู้ว่ายังจะส่งให้นางไปเข้าเรียนอีก นางไม่อยากไปเลยจริงๆ
ติงเช่อเฟยได้ยินนางปฏิเสธ เป็นอย่างที่นางคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า คิ้วที่วาดโค้งได้รูปสวยงามย่นขึ้น เดินไปที่ด้านหน้าของคังเสว่มี่ พูดโน้มน้าวใจนาง
“เสว่มี่ ในอดีตที่ผ่านมานั้นเจ้าเก็บตัว ทั่วสารทิศของแคว้นฉีเทียนล้วนรู้ว่าเจ้าเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยเช่นนี้
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน เจ้านั้นปราดเปรียว เฉลียวฉลาด แม้ว่าจะแต่งงานกับองค์รัชทายาทก็มิมีปัญหา
แต่ถ้าหากว่าแต่งงานกับองค์รัชทายาทโดยที่ไม่รู้เรื่องอันใดเลย
ไม่มีใครพูดได้ว่าองค์รัชทายาทจะมีความสุขเปรมปรีย์ แม้ว่าวันข้างหน้าเจ้าจะช่วยองค์รัชทายาทดูแลภายใน ก็อาจใจสู้แต่แรงไม่ยอมเป็นใจได้
ถึงเวลาเผชิญหน้ากับภรรยาและอนุภรรยามากมาย เยี่ยงนั้น
เจ้าจะทำเยี่ยงไรที่จะโดดเด่นออกมาจากพวกนาง เป็นสนมขององค์รัชทายาทให้ผู้คนเลื่อมใสและศรัทธา"
คังเสว่มี่ ยกเปลือกตาขึ้นแล้วมองไปที่เปลือกภายนอกของใบหน้าอันอ่อนโยนเพียบพร้อมไปด้วยคุรธรรม ของติงเช่อเฟย
คนผู้นี้ใช้ชีวิตสวมใส่หน้ากากใส่ผู้คนทุกวัน เป็นมืออาชีพมากกว่าตอนที่นางเป็นสายลับซะอีก
หากอยู่ในยุคปัจจุบัน แน่นอนว่ามันก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับการเป็นสายลับ
น้ำในดวงตานางส่องประกายเล็กน้อย รินชาบนโต๊ะหนึ่งแก้วจากด้านข้างบนใบหน้าเล้กๆทนไม่ไหวจึงเอ่ย
“เจ้ารู้ได้เยี่ยงไรว่าข้าจะแต่งให้กับองค์รัชทายาท? เจ้าคิดว่าข้าจะช่วยเขาดูแลจัดการภายในเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ของหล่าอนุภรรยา?
ข้าจะบอกเจ้าให้ ไม่ไปก็คือไม่ไป และข้าก็จะไม่ยอมแต่งออกไปให้องค์รัชทายาทอะไรนั่นด้วย"
จี้อี้มองไปที่คังเสว่มี่
สายตาตกลงมาบนชาร้อนที่เทด้วยมือข้างนั้นของนาง ดวงตาเคลื่อนไหว และริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อย
เมื่อได้ยินสิ่งที่กล่าวมา ท่านอ๋องก็ขมวดคิ้วมองไปที่คังเสว่มี่ ไม่รู้จะพูดโน้มน้าวให้คล้อยตามเยี่ยงไรดี
ท่าทีที่ดื้อรั้นของลูกสาวคนนี้ ช่างเหมือนกับแม่ของนางยิ่งนัก
ติงเช่อเฟยมองไปที่ท่านอ๋องแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แล้วหันไปมองที่คังเสว่มี่แสดงออกถึงท่าทางของแม่ที่ห่วงใย
วันนี้นางถูกกักขังอยู่ในศาลเจ้าก็คิดออกว่า เป็นไปไม่ได้ที่ท่านอ๋องจะไม่สนใจคังเสว่มี่ โดยสิ้นเชิง
ตราบใดที่ท่านอ๋องมีหญิงสาวผู้นั้นอยู่ในใจ คังเสว่มี่ก็จะมิถูกทอดทิ้ง
วิธีเดียวก็คือปล่อยคังเสว่ ไปทำลายอนาคตของ ตนเอง
และนาง
ก็ต้องรักษาตำแหน่งนายหญิงแห่งตำหนักอ๋องคัง และสวมบทบาทฮูหยินที่อ่อนโยนและเพียบพร้อมด้วย คุณธรรมถึงจะถูก
“เสว่มี่ตอนนี้เจ้ากับองค์รัชทายาททั้งสองคนกำลังทะเลาะ วิวาทกันด้วยอารมณ์ต่อกันและกัน พูดเพราะโมโหแค่ชั่วขณะ
ทั้งเบื่องบนและเบื้องล่างของฉีเทียนนี้ ใครต่างก็ทราบกันดีว่าในอนาคตองค์รัชทายาทก็คือ พระราชาองค์ต่อไป
เมื่อไปอยู่ที่ตำหนักองค์รัชทายาทเจ้าไม่เพียงแต่ต้อง ดูแลภรรยาและอนุภรรยาของเขา และเมื่อถึงเวลาที่เข้าไปในพระราชวัง ยังต้องช่วยเขาดูแลหญิงงามสามพันนาง......"
ติงเช่อเฟยพูดอยู่ผู้เดียว เห็นคังเสว่มี่นั่งก้มหน้าลง ดูไปมาก็เหมือนว่านางกำลังจะนอนหลับ
ติงเช่อเฟยหมุนกายแล้วเดินเข้าไปที่นางอย่างช้าๆ แล้วเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
“เสวีมี่ เจ้าได้ฟังที่ข้าพูดหรือไม่?”
คังเสว่มี่ฟังเสียงพูดของนางหึ่งๆๆ อยู่ในหัว คำก็องค์รัชทายาท อีกคำก็ดูแลภรรยาและอนุภรรยา
มันน่ารำคาญยิ่งนัก!
นางพูดตั้งแต่แรกแล้ว ว่าไม่แต่งกับไป๋หลี่รุ่ย!
ยังจะมาหญิงงามสามพันนางอันใดอีก หญิงงามสามพันนางกับแม่นางนะสิ!
หางคิ้วของคังเสว่มี่แน่นขึ้นเล็กน้อยภายในแววตามีความเบื่อหน่าย
ถ้าหากอดีตเพื่อนร่วมงานในกรมตำรวจเห็นรูปร่างหน้าตาของนางเช่นนี้
ก็จะรูทันทีว่ามันกำลังจะก่อให้เกิดปัญหากับคนที่เข้าไปวุ่นวายเอาได้ง่ายๆหากมีใครยังกล้าแทรกหน้าเข้าไป ก็อาจเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนเป็นแน่
แต่ติงเช่อเฟยรู้ว่าที่ผ่านมาคังเสว่มี่นั้นไม่มีความอดทนเอาเสียเลย เวลานี้นางยิ่งต้องแสดงออกให้เห็นถึงคุณธรรมของตนเองเพิ่ม มากขึ้น จนกระทั่งยื่นมือออกไปคิดที่จะผลักนาง เมื่อเห็นคังเสว่มี่ไม่ขยับ นางจึงโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วเอ่ย“เสว่มี่ ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่ เจ้าคงไม่ได้หลับไปแล้วหรอกนะ?”ชำเลืองมองไปที่เล็บมือข้างนั้นที่เต็มไปด้วยโค้วตาน(ยาทาเล็บสมัยโบราณจีน)ยื่นมาข้างหน้า เมฆดำค่อยๆเข้ามาปกคลุมด้านล่างของดวงตาคังเสว่มี่นางเงยหน้าขึ้นมองอย่างดุร้าย เหมือนกับถูกทำให้ตกใจ มือขวาหยิบถ้วยชาขึ้นมา สาดเข้าที่หน้าติงเช่อเฟยอย่างแม่นยำ!“อ่า......”ติงเช่อเฟยถูกน้ำชาร้อนสาดเข้าที่หน้าตรงๆ ทั่วใบหน้าถูกน้ำร้อนลวกกรีดร้องออกมาด้วยเสียง แหลมสูงท่าทีที่สง่างามเพียบพร้อมด้วยศีลธรรมอันดีงามเมื่อครู่นี้ยังเหลืออยู่ที่ไหนกันหญิงรับใช้ที่อยู่ด้านข้างลุกลนจนทำอะไรไม่ถูก หยิบผ้าคลุมศีรษะจุ่มน้ำแล้วนำไปวางคลุมใบหน้าของนางคังเสว่มี่ดูเหมือนว่าจะตกใจจากการกระทำของนาง บนใบหน้าเล็กๆเต็มไปด้วยความกลัว มองไปที่ติงเช่อเฟยเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงแล้วเอ่ย“เมื่อครู่นี้ข้ากำลังคิดว่าตกลงแล้วข้าควรจะต้องไปเรียนหรือไม่ จู่ๆท่านก็ตะโกนเรียกข้าซะเสียงดังถึงเพียงนี้ ทําให้ข้าตกใจจนสะบัดชาหกหมดแล้ว อีกทั้งยังลวกโดนมือของข้าอีกด้วย!” พูดแล้วก็ยื่นมือออกไป ชี้ไปที่น้ำชาสองหยดที่อยู่ด้านบนที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า“ท่านอ๋อง ท่านดูหน้าของข้าถูกนางสาดน้ำร้อนใส่ เยี่ยงนี้จะให้ข้าเอาหน้าแต่ไหนไปพบผู้คนได้ล่ะ!”ใบหน้าที่งดงามน่าทะนุถนอมของติงเช่อเฟยร้อนจนเห่อแดงขึ้นมา เจ็บปวดแสบปวดร้อนแทบขาดใจ
copy right hot novel pub