โหมดมืด
ภาษา arrow_icon

พลิกชะตาจอมนางข้ามภพ

ตอนที่ 135 บอกใบ้ใต้โต๊ะ

อ๋องคังทำเสียงฟึดฟัดก่อนจะพูดซ้ำอีกว่า

"เช่นนั้นแล้วเจ้าจะได้ไม่ต้องหลงเหลืออาการป่วยที่เป็นโรคเรื้อรังในภายหลัง แล้วเจ้าก็จะมาตำหนิข้าทุกวัน!”

อาการบาดเจ็บของคังวี่จิ่นเพิ่งจะหายดี ท่านอ๋องคังรู้ตัวเองดีว่าลงมือเมื่อคราวที่แล้วอยู่ภายใต้อารมณ์ความโกรธเพียงใด

ผิวหนังภายนอกนั้นหายดีแล้วแต่เอ็นและกระดูกภายในยังไม่หายดีทั้งหมดอย่างแน่นอน

นั่งรถม้าเดี๋ยวก็เขย่าๆ สั่นสะเทือน นั่นคือเป็นการไปเพิ่มอาการบาดเจ็บให้กับแผลยิ่งขึ้น ยิ่งง่ายต่อการทิ้งอาการผิดปกติบกพร่องไว้

“ไม่ต้องให้เจ้าไปส่งแล้ว” คังเสว่มี่เข้าใจความคิดของท่านอ๋องคังอย่างชัดแจ้ง หันกลับไปมองที่คังวี่จิ่นแล้วพูด

“ข้าไม่ได้อยากมีพี่ชายที่ขาเป๋ในภายหลัง อัปลักษณ์จะตาย"

ถูกพ่อของตนเองใช้อำนาจข่มขู่และยังถูกน้องสาวของตัวเองรังเกียจอีก บนใบหน้าผิวหยกขาวของคังวี่จิ่นเผยให้เห็นถึงความ โกรธ ก้มหน้าก้มตาอยู่กับการควักข้าวขึ้นมากิน!

คังเสว่มี่มองดูเขาควักข้าวกระเด็นกระดอนเต็มโต๊ะไปหมด ในบ้านยังมีแขกอยู่ด้วย นางยกเท้าขึ้นแล้วเหยียบเท้าข้างหนึ่งของเขาที่อยู่ใต้โต๊ะ

“ระวังภาพลักษณ์ด้วย”

สีหน้าของจี้อี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย มีแสงประหลาดจางๆส่องประกายในดวงตาของเขา เขามองไปที่คังเสว่มี่

เห็นคังวี่จิ่นยังคงไม่มีท่าทีโต้ตอบ นางยิ่งเพิ่มแรงเหยียบลงไปอีก พร้อมกับหันไปมองที่ท่านอ๋องคังแล้วเอ่ย

“จี้ซื่อจื่อยุ่งขนาดนี้ ให้เขาไปส่งข้าที่โก๋วจื่อเจี้ยนดูจะไม่ค่อยเหมาะสมใช่หรือไม่? ไม่สู้เปลี่ยนเป็นผู้อื่นดีกว่าไหม?”

จี้อี้เหลือบมองไปที่ใต้โต๊ะที่ไม่เหลือร่องรอย และสายตาของเขาก็ตกลงมาอยู่บนใบหน้าที่แสร้งยิ้มของคังเสว่มี่ น้ำสียงที่อ่อนโยนริมฝีปากกระตุกขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ย

“ท่านอ๋องคัง ข้าว่าความสัมพันธ์ของคุณหนูคังกับองค์ชายหกไม่เหมือนความสัมพันธ์ธรรมดาทั่วไป บางทีนางก็อาจจจะหวังให้องค์ชายหกที่เป็นคนไปส่งนาง”

อ๋องคังได้ยินสิ่งที่กล่าวมา สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเสว่มี่กับองค์ชายหกความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา

สิ่งนี้ถูกองค์รัชทายาทเห็นเข้าไปแล้วเขาจะเกิดความคิดอันใดขึ้นมาอีก

ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าองค์รัชทายาทจะไม่ใช่คู่ที่เหมาะสมของเสว่มี่

แต่ตอนนี้อย่างไรเสียเสว้มี่กับองค์รัชทายาทก็มีความหมายต่อกันเยี่ยงนี้

ถ้าหากว่าเสว่มี่กับองค์ชายหกทั้งสองอยู่ด้วยกันองค์ชายหกยิ่งเป็นคนที่เคยชินกับการใช้คำพูดหลอกให้ผู้อื่นรู้สึกดีใจ

ถ้าหากศึกษาดูใจกันไปเรื่อยๆค่อยๆเกิดเป็นความรักต่อกัน ในฐานะที่เป็นฝ่าบาท แน่นอนว่าไม่ต้องการเห็นบุตรชายของตนเองทั้งสองแล้วเพื่อผู้หญิงคนเดียวไปมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน

คิดมาถึงตรงนี้ เขาดูสีหน้าเคร่งขรึม หันไปมองจี้อี้แล้วเอ่ย

“แน่นอนว่าจี้ซื่อจื่อก็คงจะทราบว่าวันนี้พระพันปีประชวรโรคเก่ากําเริบกระทันหัน ในเวลานี้ทั้งพระราชวังกำลังยุ่งกันไปหมด

องค์ชายหกก็ยังเป็นหลานชายที่พระพันปีทรงโปรดปรานที่สุด แน่นอนว่าต้องคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย ดังนั้นเรื่องนี้ต้องรบกวนเพียงแค่ท่านแล้ว"

แสงในดวงตาของจื้อี้จางลงเล็กน้อย เห็นหัวคิ้วที่งดงามของคังเสว่มี่ย่นขึ้นเขายกยิ้มบางๆ

“ตัวข้านี้ไม่มีปัญหา ต้องดูที่ว่าคุณหนูคังจะยินยอมหรือไม่?”

คังเสว่มี่ใช้ตะเกียบจิ้มข้าวที่อยู่ในชาม นางยังจะมีอันใดที่ไม่ยินยอมได้อีก

ตั้งแต่ที่พูดว่าจะไปสถาบันการศึกษาเป็นเพื่อนคังวี่จิ่น ก็มิอาจล้มเลิกกลางคันได้

ถึงแม้ว่านางจะเรียนหนังสือได้คะแนนดี แต่อย่างไรเสียความรู้ของยุคสมัยโบราณกับปัจจุบัน มันก็ไม่เหมือนกัน

อีกอย่างตอนนี้โก๋วจื่อเจี้ยนก็เปิดเรียนแล้ว ยิ่งไปช้า นางก็จะยิ่งได้เรียนเอาความรู้น้อย

เมื่อถึงเวลาสอบถ้าหากไม่สามารถสอบผ่านได้ นั่นมันยิ่งจะทำให้ติงเช่อเฟยมีความสุขหรือ?

ไปส่งก็ไปส่ง ถึงแม้ว่าจะได้อยู่กับจี้อี้ก็ตาม.......

เป็นคนเจ้าอุบายมากไปนิดหน่อย อย่างอื่นก็ถือว่าไม่เลว แต่นอกจากปากของเขาที่มีพิษเล็กน้อยแล้ว

นอกจากนั้น ก็ยังมีข้อดีอยู่บ้าง อย่างเช่นรูปร่างหน้าตาดูแล้วช่างมีความสุขเบิกบานตา เบิกบานใจ จนอยากจะกลืนกิน

และอย่างเช่นรถม้าของเขาสะดวกสบายอะไรทำนองนี้

เห็นว่าบนใบหน้าอันอ่อนช้อยน่ารักของบุตรสาวไม่ได้แสดงความรังเกียจอย่างใดในที่สุดท่านอ๋องก็โล่งใจ หันไปมองจี้อี้แล้วเอ่ย

“งั้นพรุ่งนี้ต้องลำบากจี้ซื่อจื่อพาลูกสาวของข้าผู้นี้ไปที่ โก๋วจื่อเจี้ยนแล้ว”

คังเสว่มี่มองไปที่ท่านอ๋องคัง เห็นคิ้วทั้งสองข้างของเขาแผ่ขยายออก และเผยให้เห็นถึงความลึกของการขมวดคิ้วทั้งสองเส้น

และก็มองดูคังวี่จิ่นที่กำลังกินข้าว คิดว่าถ้าหากให้ร่างเดิมเห็นว่าวันนี้พ่อของนางคิดเพื่อ นางเยี่ยงนี้ บางทีอาจจะทำให้นางซาบซึ้งใจบ้างสักนิด

ไม่รู้ว่าทำไม บางทีอาจเป็นเพราะบรรยากาศวันนี้ช่างดียิ่งนัก

ข้างๆมีคังวี่จิ่นที่กินข้าวอย่างเบิกบานใจ ด้านหน้ามีท่านอ๋องคังที่ทำงานหนักเพื่อลูกๆของเขา นางรู้สึกถึงความเป็นบ้านขึ้นมาเล็กน้อย

จี้อี้มองดูความเศร้าโศกและห่อเหี่ยวในหัวใจที่อยู่บนใบ หน้าเล็กๆของนาง ในดวงตาหยุดค้างไปชั่วขณะ

ค่อยๆวางตะเกียบลงช้าๆ เช็ดมืออย่างสง่า และจึงหันไปมองท่านอ๋องคังแล้วเอ่ย

“ที่ไหนกัน วันนี้ได้มีโอกาสมารับประทานอาหารอร่อยๆเพียงนี้ถึงตำหนักท่านอ๋อง พาคุณหนูคังไปที่โก๋วจื่อเจี้ยนถือเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย ข้าต้องตกปากรับคําเป็นธรรมดา”

อ๋องคังเอ่ยอย่างถ่อมตนอีกคราว ท้ายสุดรอให้ทุกคนรับประทานอาหารเสร็จ จี้อี้ก็ยืนขึ้นเพื่อขออำลา

“เสวมี่ ไปส่งจี้ซื่อจื่อเถอะไป" อ๋องคังเอ่ยสั่ง

“เจ้าค่ะ”

คังเสว่มี่ที่กินเสร็จก็มองดูคังวี่จิ่นแล้วพูดเร่งเขา

“เจ้ารีบไปพักผ่อนเลี้ยงดูก้นของเจ้าให้ดีแล้วรีบไปโรงเรียน!”

เอ่อ......

คังวี่จิ่นผู้ที่กินมากจนเกินไปเอนหลังพิงเบาๆที่พนักเก้าอี้ แล้วเรอออกมาเสียงดัง ถือว่าเป็นการขานรับคำพูดของนางแล้ว

ออกจากห้องโถงบุปผา คังเสว่มี่เดินตามจี้อี้ไปอย่าโซเซ เงยหน้าขึ้นไปมองดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้า แล้วหรี่ตาพูดอย่างเฉื่อยชา

“ข้าพบว่าเจ้าก็ไม่เห็นมีเรื่องอันใด หลายวันนี้ข้าล้วนแต่เห็นเจ้าเอ้อระเหยอย่างสบายอก สบายใจยิ่งนัก”

“แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรจะเป็นเยี่ยงไรหรือ?”

จี้อี้เงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้าแล้วถามอย่างแผ่วเบา

“ทุกวันควรจะต้องเข้าวัง หลังจากนั้นก็คอยจัดการเรื่องราวต่างๆตลอดเวลาอะไร อย่างงั้นถึงจะถูก"

หรี่ตาด้วยความเลือนลางคังเสว่มี่ลูบท้องที่กินอิ่มๆของตนเอง ต่อจากนั้นก็พูดว่า

“แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะตอบตกลงท่านพ่อว่าจะไปส่งข้าที่โก๋จื่อเจี้ยนด้วย”

จี้อี้มองดูสายตานางที่ริบหรี่ที่กินอิ่มแล้วรู้สึกสบาย เหมือนกับลูกแมวตัวเล็กๆในที่สุดก็เก็บกรงเล็บเข้าไปทำตัวอ่อนปวกเปียกทำให้คนอยากจะลูบที่หัวของนาง แล้วเขาก็ยิ้ม“ข้าไม่มีหน้าที่ใดในราชสำนักไม่จำเป็นต้องเข้าราชสํานักตามกฏทั่วไปมีเรื่องอันใดฝ่าบาทจะทรงรับสั่งเรียกประชุมเองส่วนเรื่องที่ไปส่งเจ้าที่โก๋จื่อเจี้ยนนั้น เดิมทีข้าก็ไม่อยากตกปากรับคําต่อมาเห็นว่าเจ้าพยายามบอกข้าเป็นนัยๆที่ใต้โต๊ะ ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกทำสุดความสามารถแล้วก็เลย ต้องตกปากรับคำไป"“อ๊ะ? ข้าพยายามบอกเป็นนัยๆกับเจ้าที่ใต้โต๊ะ?”ทันใดนั้นก็นึกไปถึงตอนที่ตนเองได้ทำการเหยียบเท้าของคังวี่จิ่นที่ใต้โต๊ะให้เขาไม่ควักข้าวจนกระจัดกระจายบนโต๊ะ แต่ดูเหมือนว่าคังวี่จิ่นสีหน้าจะไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของคังเสว่มี่เบิกกว้าง ในตอนนั้นนางยังคงคิดว่าเป็นเพราะคังวี่จิ่นเอาแต่กินข้าว แม้แต่ความเจ็บก็ไม่รู้ด้วยซ้ำตอนนี้เข้าใจแล้วว่าคงเป็นเพราะเหยียบผิดคนแล้ว.......นางก้มลงไปมอง จี้อี้ภายใต้ชุดคลุมสีม่วงอ่อน บนรองเท้าบูทที่สวยวิจิตรตระการตาคู่หนึ่งมีรอยเท้าเล็กๆสีเทาปรากฎอยู่ นั่นไม่ใช่ที่นางเหยียบหรอกหรือ!เมื่อครู่นี้เพื่อทำให้คังวี่จิ่นได้จดจำไปนานๆ ตนยังใช้แรงบดขยี้มันลงไปอีกเล็กน้อยมันเป็นความผิดของนางเอง ยังไงเสียก็คงต้องยอมรับ บนใบหน้าเล็กๆของคังเสว่ที่ดูอึดอัดใจเล็กน้อย เหมือนน้ำในดวงตาแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจอย่างสุดซึ้งแล้วเอ่ย

copy right hot novel pub

แสดงความคิดเห็น / รายงานปัญหาเว็บไซต์