เขามองดูผิวหนังที่ขาวสะอาดหมดจนของนางยิ่งเผย ให้เห็นสีแดงอย่างชัดเจนคล้ายกับดอกชบาที่บานสะพรั่ง จากนั้นก็อมยิ้มที่มุมปากหันมองไปที่คังเสว่มี่แล้วเอ่ย
" หากนับอย่างจริงจังแล้ว ในตอนที่อยู่บนรถม้าจูบแรกของข้าก็ถูกเจ้าแย่งไปเสียแล้ว”
“อ๊ะ?” คังเสว่มี่ เบิกตากว้าง
ในสมองของนางไม่ได้มีภาพแห่งความทรงจำนั้นเลย
นางกล้าถึงเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน กล้ากระทำอย่างบุ่มบ่าม แย่งเอาจูบแรกของเจ้าอุบายจี้มาแล้วหรือ?
บนรถม้า?
นางคิดแล้วคิดอีกหรือว่าจะเป็นครั้งแรกที่นางขึ้นไปบนรถม้าของเขา เป็นตอนที่ดื่มเหล้าเมาตอนนั้นหรือ?
แต่นางจำได้ว่าตนเองไม่ได้มีนิสัยที่ชอบจูบใครหลังจากที่เมาแล้วนะ
แต่คงจะไม่มีใครจงใจเอาจูบแรกไปขึ้นอยู่ที่คนอื่นหรอก
คำพูดเยี่ยงนี้ จูบแรกได้มอบให้กับนางแล้ว งั้นจี้อี้กับโควโควก็คงไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบนั้นแล้ว?
โอ๊ย ใยนางจึงไปคิดถึงโควโควได้ นี่มันบ้าบออะไรกัน
จี้อี้เห็นใบหน้าเล็กๆของนางเปลี่ยนไปมาไม่หยุด เดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว เดี๋ยวก็กัดฟัน เดี๋ยวก็มีความสุขเขายกมือขึ้นแล้วค่อยๆเสียบกิ่งก้านดอกไม้นั้นขึ้นไปติดอยู่บนมวยผมข้างหลังหูนาง
“ข้ารู้ว่าเจ้าคงจะจำมันไม่ได้ ความทรงจำในครั้งนั้นมันไม่ค่อยจะสวยงามเท่าไหร่ จำไม่ได้ก็ช่างมันแต่ว่า ครั้งนี้กลับไม่เลวเลยทีเดียว”
เหมือนเขาเม้มๆริมฝีปากที่มีเลือดฝาดจางๆเล็กน้อย คล้ายๆกับกำลังขบคิดรสชาติที่ยังติดอยู่ แววตาที่ลุ่มหลงจนไม่อาจตัดใจได้อยู่นาน ถูกล็อคไว้ที่นาง เขาถอนหายใจเบาๆราวกับปุยฝ้าย
“รสชาติของเค้กกุ้ยฮวา ช่างหวานเสียจริง"
ใบหน้าของคังเสว่มี่แดงจนจะหยดเลือดออกมา หัวใจจู่ๆก็ว้าวุ่น
นางเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วร้องตะโกนด้วย ความโมโหอยู่ในใจ
โอ้พระผู้เป็นเจ้า ท่านโปรดรับเจ้าจี้อี้คนชั่วร้ายนี้กลับไปเถิด!
ท่านปล่อยเขาออกมา นี่มันคือความหายนะแก่สิ่งมีชีวิตทั้งปวงเลยนะ!
นี่นางทำบาปทำกรรมมามากเท่าใด ถึงได้ข้ามพบข้ามชาติจากยุคปัจจุบันมาสมัยโบราณ ทนรับกับการกดขี่ข่มเหงอย่างเหี้ยมโหดจากคนชั่วร้าย อย่างเจ้าอุบายชั้นหนึ่งนี่ด้วย
จี้อี้เห็นคังเสว่มี่ชี้นิ้วไปบนฟ้า ปากพูดพล่ามเป็นน้ำไหลไฟดับไม่หยุด ดอกไม้เล็กๆสีเหลืองหนึ่งก้านยัดอยู่ตรงจอนสั่นอยู่ข้าง หลังหูของนาง
บนใบหน้าของเขาก็ปรากฎรอยยิ้มราวกับดอกโบตั๋นที่ผลิบานอย่างสง่างาม สดใสและสวยงามตลอดทั้งฤดูร้อนขึ้น
คังเสว่มี่มองค้อนออกมาจากหางตา นางสุดจะทนแล้วจริงๆ
แล้วนี่เขายังอยู่ทำอันใดที่นี่!
อย่างไรก็ตาม การที่ไม่ทันระวังไปแตะโดนปากของผู้อื่น มันก็น่าอึดอัดใจวางตัวไม่ถูกเล็กน้อย
นางรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขากลับหัวเราะดึงดูดผู้คนมากขึ้น เขาไม่ไปนางไปเอง
นางลูบแก้มที่ร้อนผ่าว คังเสว่มี่เกรงว่าตนเองจะถูกเผาไหม้ตายอยู่ตรงนี้ จึงรีบพูดแบบขอไปที
“หมดเวลาพักแล้ว ข้าต้องไปห้องเรียนแล้ว เจ้านี่มัน.....เห้อเปล่าๆ......”
จี้อี้มองดูนางค่อยๆหายไปสุดปลายทางเดินท่าทาง ราวกับไฟไหม้ก้น จึงค่อยถอนสายตากลับมา จากนั้นเขาก็ยกเปลือกตามองไปยังอีกที่หนึ่งที่ไกลออกไปครู่เดียวเขาก็เก็บสายตานั้นกลับมา มุมปากของเขาค่อยๆคลี่ออกอย่างช้าๆ
เด็กน้อย วิ่งหนีไปเถอะ มาดูกันว่าเจ้าจะสามารถวิ่งหนีไปได้ไกลวิ่งไปได้นาน แค่ไหน
แต่ว่า เปล่าๆ เมื่อสักครู่นั้นมันหมายถึงอันใด?
กลับมาที่เรื่องราวที่เกี่ยวกับชายสิบหกคนและหญิงอีกห้าคนที่เปลือยกายวิ่งในสถานศึกษายากที่จะได้เห็นในรอบศตวรรษ ในโก๋วจื่อเจี้ยน
หลังจากที่สวี่จี้จิ๋วได้มีการสอบปากคำและตรวจสอบ อย่างเคร่งครัดแล้ว
คำให้การของพยานบุคคลทั้งยี่สิบเอ็ดคนเป็นเอกฉันท์ ยืนยันว่าพวกเขาทั้งหมดไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอันใดขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นจะอธิบายเป็นขั้นตอนได้ดังต่อไปนี้
พวกเขาทั้งยี่สิบเอ็ดคนกำลังเดินเล่นด้วยความรักใคร่ สนิทสนมกัน
หารือกันเกี่ยวกับปัญหาด้านวิชาความรู้ที่ได้ศึกษามา
ทันใดนั้นก็เดินผ่านไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ขณะนั้นก็มีบางสิ่งที่ลึกลับโผล่ออกมา สมองของพวกเขาก็เริ่มไม่ค่อยได้สติ
ราวกับว่าได้มีอะไรบางสิ่งซ่อนแฝงอยู่ภายในจิตสำนึก ของพวกเขาแล้ว เข้ามาควบคุมพฤติกรรมของพวกเขา
ทำให้พวกเขาไม่มีหนทางที่จะต่อต้านได้โดยสิ้นเชิง ทำได้เพียงเบิกตาดูตนเองถูกควบคุมให้ทำเรื่องที่ไม่ละอายใจในชีวิตประจำวันขึ้นมา
สําหรับคํากล่าวนี้ สายตาของสวี่จี้จิ๋วกวาดมองไปบนร่างกายของนักเรียนยี่สิบเอ็ดคนอีกครั้ง คิ้วที่ขมวดผูกกันแน่นคลายออกแล้วก็ผูกกันแน่นแล้วก็คลายออก
สุดท้ายก็มานึกถึงคำพูดที่จี้อี้ได้กล่าวเอาไว้ เขาสะบัดมือไปมา มันยังคงเป็นหนึ่งในพฤติกรรมของทุกคน เขาจดบันทึกลงด้วยหนึ่งตัวอักษรสีแดงสด “แย่”
หลังจากนั้นก็ให้พวกเขารีบออกไปจากอาคารเรียน
หลังจากที่พ่อแม่ของนักเรียนยี่สิบเอ็ดคนนั้นเฝ้ารอให้พวกเขากลับถึงบ้าน ก็ไต่ถามอย่างละเอียดรอบคอบก็ได้รับคำตอบเยี่ยงนี้เช่นเดียวกัน
เวลานี้ในเมืองหลวงเริ่มกระจายเรื่องเหตุการณ์เหนือธรรมชาติของ “ยี่สิบเอ็ดวิญญาณ” ที่เกิดขึ้นที่โก๋วจื่อเจี้ยนออกไปแล้ว
ในช่วงเวลานี้ ในเมืองหลวงเกิดปรากฏการณ์ที่น้อยมากที่จะได้เห็น
หลังปิดประตูเมือง
เพียงแค่ที่ฟ้ามืด ผู้คนก็ต่างไม่พากันออกมาจากบ้านแล้ว เพราะกลัวจะถูกวิญญาณลึกลับเข้าสิงให้วิ่งเปลือยผ้า อยู่บนถนน
และสิ่งที่น่ายินดีก็คือธุรกิจที่ซบเซาของพวกนักบวช เต๋าไม่กี่วันมานี้พวกเขานั้นกลายเป็นแขกประจำของสำหนักหลวงไปเสียแล้ว ยุ่งวุ่นวายทุกวันไม่หยุดไม่หย่อน
นักบวชเต๋าที่ส่วมชุดสีเหลืองอร่ามสะบัดพลิ้วไปมา ภายในตำหนักหลวงแห่งนี้กำลังพ่นน้ำพ่นหาเงิน มากมายกันทีเดียว
คนที่เป็นริเริ่มเรื่องนี้ขึ้นกำลังยืนอยู่ในเรือนหลิงหลงยืนมองพื้นดินกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาอย่างอ้างว้างพลาง ถอนหายใจพูดออกมาว่า
“ทำไมข่าวลือนี้ทำไมถึงไม่มีแม้แต่เงาของข้าอยู่ในนั้น นะ เป็นนักแสดงนํา
ผู้กำกับแม้กระทั่งเขียนบทเรื่องนี้ขึ้นมาข้ารู้สึกไม่พอใจ กับผลของเรื่องนี้สักเท่าไรนัก
ชวนหลันกำลังเด็ดใบอ่อนของถั่วเขียวและวางไว้ในชามอยู่ข้างล่างอย่างใจเย็น ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของคุณหนูเท่าไรนักแต่ ก็พอจะเข้าใจความหมายที่ต้องการจะสื่อออกมา
“คุณหนู ท่านอย่ากังวลกับเรื่องพวกนี้เลย
เรื่องนี้คนอื่นไม่ทราบจะดีกว่า ท่านบังคับให้คนยี่สิบเอ็ดคนที่เข้าเรียนในสํานัก ถ้าหากคนอื่นรู้เข้าท่านจะลำบากอีก” คังเสว่มี่ไพล่มือไว้ด้านหลังพลางมองชวนหลันด้วย สายตาที่ไม่มีวันเข้าใจอย่างเจ็บปวด
“ชวนหลัน ทำไมเจ้าถึงพูดออกมาแบบนี้! ชื่อเสียงนะสำหรับข้าน่ะมันไม่สำคัญเลยสักนิด! ถึงแม้ว่าในเรื่องสำคัญในประวัติศาสตร์เช่นนี้แม้ไม่มีชื่อ ข้าก็ไม่สำคัญ!”
“ถ้าอย่างนั้นท่านจะถอนหายใจทำไมเล่า?” ชวนหลันเด็ดใบอ่อนถั่วเขียวอีกครั้งพลางยกขึ้นมาบัง เต็มหน้าและมองไปที่นางอย่างสงสัย
“เพราะพวกนักบวชเต๋าเหล่านั้นไง! เพราะพวกเขาหาเงินได้มากมายแต่ข้ากลับไม่ได้ส่วนแบ่งแม้แต่สตางค์เดียว! มันทั้งน่าเสียดายและน่าสมเพชนัก!” คังเสว่มี่หยิบถั่วขึ้นมาสองเม็ดแล้วนำใส่ปากพลางคิด ในใจว่า
ทั้งยี่สิบเอ็ดคนนั้นไม่ได้โง่เลยสักนิดพวกนั้นใช้เรื่องผีสาง เทวดามาปกปิดเรื่องไม่ดีภายในเอาไว้
ถึงแม้ว่าจะถูกคนอื่นเยาะแต่ก็ยังดีกว่าวิ่งหนีไป ตัวเปล่า
หลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้นกู้เมิ่งเสวียนก็เงียบหายไปไม่ได้ออกมาก่อคงามวุ่นวายอีก
บางทีการเตรียมการอย่างค่อยเป็นค่อยไปคงจะเป็นวิธี ที่ดีกว่า
สรุปได้ว่าการเข้าเรียนที่นี่ทุกวันนั้นเป็นสถานการณ์ที่สงบสุขอยู่ นางเองก็มีความสุขสงบดีชวนหลันมองนางอย่างไม่เข้าใจ “คุณหนู ตอนนี้ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินการแต่งกาย แถมยังมีองค์รัชทายาทพระราชทานหยกให้อีก แล้วทำไมถึงต้องพูดเรื่องเงินด้วยละเจ้าค่ะ?”“ไม่ๆๆๆ!”คังเสว่มี่ชี้นิ้วสั่นไปมาตรงหน้าของชวนหลานสีหน้าไม่ เห็นด้วยพลางพูดว่า “ข้าไม่เคยมีเงินเยอะขนาดนี้มาก่อนเพียงแค่มันมาถูก เวลายิ่งมีเยอะก็ยิ่งดี”นางหยิบถั่วเขียวบนโต๊ะขึ้นมาและพูดออกมาด้วยน้ำ เสียงจากใจจริง“คนเหล่านั้นบอกว่าเงินทองนั้นไร้รสค่า แต่เจ้าลองมองดูสิการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ไม่ว่าจะอะไร ก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น กินก็ต้องใช้เงิน เสื้อผ้า เที่ยวเล่นสังสรรค์ก็ต้องใช้เงินทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องใช้เงินถึงจะได้ของที่ต้องการได้ ถ้าหากไม่คิดที่จะหาเงินให้มากขึ้นเอาแต่กินนอนเล่น ไปวันๆแบบนั้นจะไปมีประโยชน์อะไร!”คังเสว่มี่เองไม่กี่วันมานี้ก็กำลังคิดว่าจะสามารถหาทาง กลับไปได้หรือไม่แต่ว่าเส้นทางระหว่างโรงเรียนและวังหลวงเองก็หาของ อะไรไม่ได้ไม่รู้ว่าถ้าประกาศเงินรางวัลแล้วเหล่าชาวบ้านจะช่วย นางหาหรือไม่มันจะดีกว่าหรือเปล่านะถ้าเป็นแบบนั้นก็ต้องหาเงินมาสนับสนุนยิ่งไปกว่านั้นจะไม่มีใครล่วงเกินนางได้ถ้ามีเงินอยู่ชวนหลันคิดตามคำพูดของนางก็รู้สึกถึงเหตุผลเหมือน กับพวกนางที่เป็นเด็กรับใช้รู้สึกว่าเงินนั้นเป็นสิ่งสำคัญ จริงๆนางทำความสะอาดมือที่กำถั่วไว้พลงมองนางที่ยังคง ถอนหายใจจนอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า......
copy right hot novel pub