เขากลัวว่านางจะตกลงไป จึงจับนางเอาไว้
แต่ทว่าเขาเองก็ยังไม่ได้ปล่อยมือ บนใบหน้าที่งดงามราวกับดอกไห่ถังก็หัวเราะขึ้นมา เบาๆ แล้วพูดว่า
“นางไม่ใช่คู่รักใหม่อะไรของข้าหรอก นางคือบุตรสาวคนโตของท่านอ๋องคังน่ะ จิ้งจอกจี้เจ้าเองก็เคยเจอนางไม่ใช่หรือ?”
คังเสว่มี่นั้นกลับเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าพวกเขาทั้งสองคน กำลังจูงมือกัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
พอถูกจี้อี้พูดถึงเช่นนี้ในตอนนี้ นางก็รู้สึกแปลกๆ จึงอาศัยตอนที่เขาพูดอยู่ดึงมือออกมาหัวเราะเยาะ แล้วพูดว่า
“จี้อี้ เจ้าอย่าได้เห็นผู้หญิงที่อยู่ด้วยกันกับไป๋หลี่เหลียนแล้ว คิดว่าเป็นคู่รักใหม่ของเขาไปเสียหมดจะได้ไหม ในหัวสมองของเจ้ามัวแต่คิดสิ่งใดอยู่กัน?”
“ข้าคิดสิ่งใดอยู่ เจ้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไร?” จี้อี้เลิกคิ้วแล้วพูด
คังเสว่มี่มองค้อนเขาแล้วพูดว่า “แต่เมื่อสักครู่ท่านพูดออกมาหมดแล้ว ข้าได้ยินอย่างชัดเจนเลยนะ”
จี้อี้ยิ้ม รอยยิ้มเรียบๆและงดงามราวกับภาพวาด มองไปที่ไป๋หลี่เหลียน แล้วก็มองคังเสว่มี่แล้วพูดว่า
“ก็ที่ผ่านมาทุกครั้งที่ข้าเห็นองค์ชายหกจูงมือกับสตรีนางใด
พวกนางก็ล้วนแล้วแต่เป็นคู่รักคนใหม่ของเขาทั้งนั้น เขาเป็นคนเช่นนี้เสมอมา
พอวันนี้ได้เห็นพวกเจ้าสองคนจูงมือกัน ก็เลยคิดเช่นนี้ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ?”
คังเสว่มี่ ขมวดคิ้วขึ้นมา แล้วมองไปที่ไป๋หลี่เหลียน
ที่ผ่านมาอย่างนั้นหรือ? คู่รักใหม่อย่างนั้นหรือ? จูงมือกันอย่างนั้นหรือ? เจ้าหมอนี่เจ้าชู้มากจริงๆเลยอ่ะ
ขนาดจี้อี้ที่ไม่ค่อยออกไปไหนก็เห็นเขาเปลี่ยนผู้หญิงอย่างร้ายกาจแล้ว
หลังจากที่ไปหลี่เหลียนได้ยิน ก็มองไปที่ดวงตาของคังเสว่มี่ ที่กำลังเปล่งประกายด้วย ความสงสัย แล้วเหลือบไปมองจี้อี้ สายตาดั่งดอกท้อก็หรี่ขึ้นจนเผยให้เห็นภาพที่พร่ามัว ออกมาเล็กน้อย แล้วพูดอย่างเนิบๆว่า
“คำพูดของจิ้งจอกจี้ เจ้าไม่ต้องเชื่อนักก็ดีนะ"
คังเสว่มี่พยักหน้าเห็นด้วยกับไป๋หลี่เหลียน คำพูดของเจ้าอุบายจี้นั้น แน่นอนว่าจะต้องลองคิดดูอีกสักหน่อย ไม่เช่นนั้นก็จะติดกับดักเอาได้
“ข้าไม่ได้พูดมั่วๆนะ มันเป็นเรื่องที่ทุกคนก็รู้ๆกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?"
จากนั้นเสียงของจื้อี้ก็ค่อยๆดังขึ้นมาอีกอย่างช้าๆว่า
"ข้ายังจำเมื่อสองปีก่อนได้ว่า องค์ชายหกตกหลุมรักบุตรสาวของจูฟ่างแห่งเมืองซิงโจว ตั้งแต่แรกพบ ตามจีบสาวงามถึงพันลี้ก็ไม่หวั่น เขาส่งคนเอาผลไม้สดของเมืองสู่โจวไปส่งให้ ด้วยความปรารถนาที่จะทำให้สาวงามชื่นชอบ
ว่าแต่บัดนี้ ทำไมถึงไม่ได้ยินข่าวคราวของสาวงามผู้นั้นแล้วล่ะ?”
“ว้าว... เห็นม้าเร็วสาวงามพลันแย้มสรวล ไป๋หลี่เหลียน เจ้าไม่เลวจริงๆ ตามจีบสาวงามถึงพันลี้ก็ไม่หวั่น แล้วผลเป็นอย่างไรบ้างล่ะ? ”
หลังจากที่คังเสว่มี่ได้ยินเรื่องซุบซิบนินทาเช่นนี้ ก็เลยถือโอกาสถามคำถามขึ้นมา
สายตาของจี้อี้จ้องมองคังเสว่มี่อย่างลึกซึ้ง
ไป๋เหลี่หลียนชะงักงันไปชั่วขณะ
เขารู้สึกว่าวันนี้จี้อี้ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างแตกต่างออกไปจากเดิมเลย
มองไม่เห็นดอกพุดตานที่อยู่บนใบหน้าของเขา และความอ่อนโยนที่เหมือนกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่เคยมี
“เห็นม้าเร็วสาวงามพลันแย้มสรวลอะไรของเจ้า ผลไม้สดสองสามตะกร้านั่นน่ะ เป็นเพียงแค่ของขวัญที่ให้กันระหว่างเพื่อนเท่านั้น ไม่มีอะไรไปมากกว่านี้หรอก”
จี้อี้ยิ้มและพูดว่า “เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นเพื่อนขององค์ชายหกก็เยอะแยะมากมายจริงๆนะ จะต้องเปลี่ยนทีละคนทุกๆสองสามเดือน "
“จี้อี้ หรือว่าเจ้าอิจฉาข้าอย่างนั้นหรือ ถ้าหากเจ้าไม่ต้องขลุกอยู่แต่ในตำหนักทุกวัน และขึ้นชื่อว่าเป็นคุณชายใหญ่ของเมือง เจ้าจะต้องมีเพื่อนเยอะขึ้นอย่างแน่นอน”
ในขณะที่สายตาดอกท้อของไป๋หลี่เหลียนกำลังเอียงมอง จี้อี้อยู่ เขาก็สะบัดพัดหยกอย่างช้าๆ
“ไม่ใช่จะเรียกใครว่าเพื่อนได้ทั้งหมดหรอกนะ” จี้อี้ยิ้มเบาๆอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร
แต่คำพูดที่เหมือนกับสายลมที่พัดเย็นสบาย กลับมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถอธิบายได้ออกมาอย่างชัดเจน
“เป็นเช่นนั้น อย่าใช้คําว่าเพื่อนพร่ำเพรื่อจะดีกว่านะ”
คังเสว่มี่พยักหน้าและพูดขึ้นมา ที่ไป๋หลี่เหลียนพูดถึงเป็นเพื่อนเขาซะที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าโดยทั่วไปจะเรียกว่าคนรักเสียมากกว่า ผู้ชายอย่าเจ้าชู้จนเกินไปถึงจะดี
ไป๋หลี่เหลียนมองคังเสว่มี่อย่างเยือกเย็นแล้วสายตาก็มองไปที่ทะเลสาบ ยิ้มและพูดขึ้นมาว่า
“พูดเรื่องพวกนี้มันไม่น่าสนใจหรอก จิ้งจอกจี้ ข้าจำได้ว่าเจ้ามีเรือหนึ่งลำอยู่ในทะเลสาบนี่นา ไม่สู้พายมาให้พวกเราลองนั่งสักหน่อยจะดีกว่านะ คังเสวมี่เพิ่งเคยมาทะเลสาบซิงเยว่เป็นครั้งแรก ยังไม่เคยชมทิวทัศน์ให้ทั่วเลย”
คังเสวีมี่ จ้องมองจี้อี้ เขาช่างรวยจริงๆ มีบ้านพักอยู่ข้างทะเลสาบซิงเยว่ด้วย
แถมยังมีเรือสำราญเป็นของตัวเองอีกด้วย พื้นที่ของทะเลสาบแห่งนี้ก็เท่ากับจุดชมวิวในบ้านส่วนตัวของเขาคนเดียวไปแล้ว
พอได้ยินไป๋หลี่เหลียนพูดชื่อของคังเสวีมี่ สายตาของจื้อี้ก็ลู่ลงไปมองชุดกระโปรงยาวสีขาวลาย ผีเสื้อชุดนั้นที่นางสวมใส่อยู่ ยกริมฝีปากขึ้นยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า
“ในเมื่อองค์ชายหกและคุณหนูคังอยากไปเที่ยวเล่น ก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
จากนั้นเขาก็หันหน้าไปพูดกับฉวี่ซางว่า “ให้คนนําเรือมา"
ฉวี่ซางที่ยืนอยู่ข้างหลังมาโดยตลอดก็ยืนขึ้นแล้วตอบ ว่า “ขอรับ ชื่อจื่อ "
ขณะที่เขาหันไปทางทะเลสาบแล้วโบกไม้โบกมืออยู่ ก็เห็นเรือสองชั้นขนาดเล็กที่อยู่ฝั่งตรงข้างของ ทะเลสาบหนึ่งลำแล่นมาทางนี้แล้ว
“จิ้งจอกจี้ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้เจ้าจะเป็นคนว่าง่าย ขนาดนี้ ปกติอยากจะนั่งเรือของเจ้าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”
ไป๋หลี่เหลียนหันไปเปิดหัวข้อสนทนาขึ้นมา แล้วโบกพัดไปมาช้าๆอย่างสบายอกสบายใจมากผ่อนคลายจิตใจ
จี้อี้ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกเพลิดเพลินใจและพูด “ในเมื่องค์ชายหกและคุณหนูคังต่างก็ร้องขอ ข้าไม่อาจปฏิเสธได้อย่างง่ายดายหรอก” ด้วยท่าทางที่สง่างามว่า
ดังเสว่ อยากเห็นเรือลํานั้น จึงรอคอยให้เรือแล่นมา สายตาเอาแต่จ้องมองไปที่เรืออย่างเพลิดเพลิน
ถึงแม้ว่าเรือลํานั้นจะเล็ก แต่ดูเหมือนว่าการแกะสลักตกแต่งคานหลังคาและหน้าต่างดอกไม้ที่วิจิตรบรรจงนั้น กลับทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกได้ถึงความประณีตงดงามหาใดเปรียบได้เลยทีเดียว
เนื้อไม้ชั้นบนเป็นสีม่วงโดยไม่ต้องทาด้วยแลคเกอร์ ก็ได้ปรากฏสีสันที่ดูหรูหราสวยงามและได้ส่งกลิ่นหอมที่กระจายออกมาโดยธรรมชาติ
ในความวิจิตรการตานั้นก็สื่อให้เห็นถึงความมีระดับในการนำวัสดุชนิดพิเศษและมีกลิ่นที่ยอดเยี่ยมมาใช้ได้อย่างชัดเจน
นางจึงได้ตระหนักแล้วว่าเรือของคนเจ้าเล่ห์จี้ได้เสียค่า
ใช้จ่ายทั้งหมดในการสร้างสูงกว่าเรือลำใหญ่ๆของคน อื่นเสียอีก
พอเรือแล่นมาถึงฝั่ง ฉวี่ซางก็ไปหยิบเชือกขึ้นมา...
จากนั้นก็หันไปเชิญพวกเขาขึ้นไปบนเรือ
ไป๋หลี่เหลียนก้าวกระโดดขึ้นไปเป็นคนแรก เขากระโดดขึ้นไปบนกราบเรือด้วยท่าทางที่สง่างาม หันกลับมา
ก็มองเห็นคังเสวมี่ที่กำลังถือกระโปรงยาวอยู่และกำลังกะระยะก้าวว่าสามารถเหยียบได้ไกลประมาณไหนจึงจะ ขึ้นไปบนกราบเรือได้
เขายิ้มแล้วก้าวไปข้างหน้าเพื่อที่จะดึงนางขึ้นมา
“พอเห็นเรือก็นึกถึงหมากรุกหยกสีขาวดำชุดนั้นขึ้นมาได้ว่า หลังจากที่ข้านำมาในครั้งก่อนแล้วข้าก็ลืมนำกลับตำหนักไปด้วย จึงเก็บไว้บนเรือลำนี้ตลอดเลย”
จี้อี้ยืนอยู่บนฝั่ง ใบหน้าประดุจดั่งหยกสีขาว ดวงตาประดุจดั่งคลื่นในทะเลลึก และยิ้มอย่างเฉยเมย
“ที่แท้ก็อยู่ที่นี่มาตลอดอย่างนั้นหรือ? มิน่าเล่าตอนที่ข้าให้เจ้าถือออกมาให้ข้าดูหน่อย เจ้ามักจะพูดว่าไม่มี ข้าก็นึกว่าเจ้าขี้งกเสียอีก!” พอได้ยินเรื่องหมากรุกที่ชื่นชอบ สายตาดอกท้อของไป๋หลี่เหลียนก็เปล่งประกายขึ้นมาสอดส่ายสายตามองหา“เจ้าวางเอาไว้ตรงไหนล่ะ? ข้าอยากลองดูสักหน่อย”ใครๆก็รู้โดยทั่วกันว่า องค์ชายหกไป๋หลี่เหลียนนั้นนอกจากสาวงามแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาชื่นชอบอยู่เหนือสาวงาม นั่นก็คือหมากรุกนั่นเองหลังจากนั้นจี้อี้ก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นขึ้นมาก ว่า “อยู่แถวแรกในตู้ไม้สีแดงนั่นงัย”พูดจบ ไป๋หลี่เหลียนก็มองไปที่คังเสว่มี่ แล้วก็มองไปที่จี้อี้ มีเขาอยู่ตรงนี้ เสว่มี่ก็คงไม่เป็นอะไร ดังนั้นเขาจึงหมุนตัวแล้วเดินเข้าไปในเรือเจ้าคนนี้เห็นหมากรุกสำคัญกว่าเพื่อนอย่างนั้นหรือ?ขณะที่คังเสว่มี่ มองไป๋หลี่เหลียนเดินเข้าไปในเรือ นางก็เงยหน้าขึ้นไปเห็นกราบเรือที่สูงกว่าระดับเอวของนางแล้วก้มหน้ามองกระโปรงยาวที่อยู่บร่างกายของตัวเองในขณะที่ตัวเองกำลังคิดว่าจะใช้วิชาตัวเบาบินขึ้นไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีหรือไม่ เพราะไม่อย่างนั้นคงต้องได้ถลกกระโปรงขึ้นมาจึงจะสามารถปีนขึ้นไปได้ ครู่ต่อมาก็ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ โชยมาปะทะเข้าที่ใบหน้าดังขึ้นมาจากด้านบนว่า“ยื่นมือมาสิ ข้าจะดึงเจ้าขึ้นมาเอง”...
copy right hot novel pub