ความฉลาดนี้ของนางไม่ใช่คนอื่นจะสามารถสู้ได้
“ ว่าใครรังแกผู้อื่นกัน ข้าไร้เดียงสาบริสุทธิ์มาก จิตใจงดงาม ไม่มีใครมารังแกข้า ข้าก็ไม่รังแกผู้อื่น" คังเสว่มี่ถลึงตาใส่จี้อี้พูดในใจว่า เมื่อเทียบกับจี้อี้ นางใจดีมากแล้ว
“เสว่มี่พูดถูก ไม่มีผู้ใดมารังแก ข้าก็ไม่รังแกผู้นั้น ” ไป๋หลี่เหลียนเอ่ยอีกรอบ ดวงตาลูกพืชมองเอียง ม่านตาที่คล้ายกระจกมีแสงใส
เมื่อครู่นี้ข้าพบว่าคำพูดที่เสว่มี่กล่าวมีเหตุผลหมดเลย เช่นชมทิวทัศน์ต้องดูอารมณ์
" เจ้าคงอ่านหนังสือมามากนัก "
คังเสว่มีแอบพูดว่า ไม่ดี นางชินกับการพูดแบบนี้กับคนอื่นแล้ว ยี่สิบปีมานี้ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้
และร่างนี้ตามที่ทุกคนรู้ ไม่เคยเรียนหนังสือมาดีๆสักครั้ง อ่านหนังสือเป็นก็พูดว่าเมื่อก่อนพ่อเป็นผู้สอนได้
แม้แต่ชวนหลันก็บอกว่าเธอไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน เธอก็ไม่สามารถทำตัวว่ามีความรู้มาก
เธอเหลือบมองจี้อี้ เห็นเขายิ้มบางๆ ดวงตาเรียวอ่านไม่ออกว่ากำลังนึกอะไรอยู่
นึกไปถึงก่อนหน้านี้ที่จี้อี้หยั่งเชิงเธอ ในใจก็ระมัดระวังมากขึ้น
แอบพูดว่าต้องไม่ให้จี้อี้เห็นความผิดปกติของนาง
นางยิ้มบางๆอย่างไร้เดียงสาคล้ายกับดอกลูกแพร์
“ หนังสือน่ะ เคยอ่านมาเล็กน้อย แต่คำพูดพวกนี้เป็นความรู้สึกในใจ นึกได้ก็กล่าวออกมา คล้ายกับอยู่ในสมองอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับการอ่านหนังสือเลย! "
“นั่นมันยอดเยี่ยมยิ่งนัก รู้ได้โดยไม่ต้องอ่านหนังสือ” ไป๋หลี่เหลียนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ และเอ่ยปากชม
จี้อี้ได้ยินคำพูดของเขาทำแค่เพียงยิ้มเบาๆ สีหน้าดูลึกลับราวกับความลึกไกลโพ้นของท้องทะเล ตกอยู่ภายใต้สายตาของคังเสว่มี่ คิดว่ามันคงจะดีถ้าไป๋หลี่เหลียนอยู่ที่นี่คนเดียว
แต่ทว่าจี้อี้อยู่ที่นี่ คนผู้นี้ลึกลับมิอาจหยั่งรู้ได้ ครองพลังฝีมือสูงล้ำ ยิ่งพูดมากยิ่งทำผิดมาก ถ้าหากมอบหมายให้เขาจัดการเรื่องอันใดก็ไม่สำเร็จ เพียงแค่เปลี่ยนเรื่อง
“จี้อี้ เจ้ายังไม่รีบไปนำรถม้ามาอีกหรือ? ถ้ายังไม่ไปอีกล่ะก็ พระอาทิตย์จะตกดินแล้วนะ!"
จี้อี้ยกนิ้วมือขึ้น สัมผัสของความอ่อนโยนที่มีบนใบหน้าที่ดูสง่างามไม่ เป็นสองรองใคร
“รถม้ารออยู่ข้างหน้านี้แต่นานแล้ว ข้าเพียงรอให้เจ้ากับไป๋หลี่เหลียนได้พูดคุยความรู้สึก ในหัวใจต่อกันและกัน บัดนี้คุยกันเสร็จแล้วหรือยัง?”
เขารู้ว่าคนๆนี้จะต้องจับผิดความพูดของนางไม่ปล่อย อย่างแน่นอน คังเสว่มีจับจมูกของตน
“คุยเสร็จแล้ว ไปกันเถอะ ไปกันเถอะ” พูดเสร็จ ตนก็เดินนำหน้าตรงไปที่รถม้า
ไป๋หลี่รุ่ยมองไปที่จี้อี้ คังเสว่มี่และไป๋หลี่เหลียน
พวกเขาทั้งสามพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนิทสนม สีหน้าของเขาดูน่าเกลียดราวกับเมฆดำที่ปกคลุมในเดือนมิถุนายน
เมื่อสักครู่ที่เขาได้พูดคุยกับคังเสว่มี่ไปตั้งมากมาย นางไม่แม้แต่จะชำเลืองมองมาที่เขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว นางไม่เคยแสดงสีหน้าดีๆเลยสักครั้ง
ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตาม นางก็ล้วนปฏิเสธทุกสิ่งที่เขาพูด
แม้กระทั่งตอนที่เขาปรากฎตัว นางยังกล่าวอีกว่ามันส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของนาง ทำให้นางไม่อยากแม้แต่จะเพลิดเพลินไปกับ ทัศนียภาพของทะเลสาบ
เขาคือรัชทายาท เป็นว่าที่กษัตริย์แห่งฉีเทียน หญิงใดก็ต่างตั้งหน้าตั้งตารอคำเชยชมจากเขา
และยังมีจี้อี้อีก มันหมายความว่าอย่างไร?
ในอดีตที่ผ่านมาในขณะที่ตนไม่ได้ให้ความสำคัญกับคังเสว่มี่ จี้อี้ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอันใด บัดนี้ตนได้รู้สึกหวั่นไหวกับคังเสว่มี่ จี้อี้ก็กลับรู้สึกกับคังเสว่มี่เช่นกัน!
'จี้อี้ อย่าคิดว่าเสด็จพ่อโปรดปรานเจ้า แล้วเจ้าจะสามารถทำอะไรล้ำหน้าข้าได้นะ!'
แววตาของเขาเศร้าหมองมองไปที่ชายที่อยู่ข้างหน้า เดินไปอย่างช้าๆ ด้วยสายตาที่เย็นชา
อดีตพระราชาไม่เคยกล่าวอย่างเจาะจงไว้ว่าราชวงศ์ กับตำหนักอ๋องคังจะต้องใช้วิธีการเยี่ยงนี้เพื่อมาเกี่ยวดองกัน
เพียงแต่ทุกคนล้วนรู้สึกและคิดเออออกันไปเองว่าต้องเป็นบุตรสาวจากตำหนักอ๋องคังที่ต้องแต่งกับราชวงศ์
และมันประจวบเหมาะกับที่คังเสว่มี่ดันเป็นบุตรของภรรยาหลวงอย่างสนมเอกอ๋องคังที่เป็นคนให้กำเนิด
ดังนั้นเขาจึงคิดว่านางนั้นคือว่าที่พระชายาเอกของตน ในอนาคตตั้งแต่วัยเยาว์
วันนี้ได้พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว เขาเพิ่งมานึกได้ว่าหลายปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นท่านอ๋องคัง เสด็จพ่อ ฮองเฮา หรือไทเฮาก็ตาม แต่ไหนแต่ไรมาก็มิเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ จริงๆจังๆเสียที
หากเขาคิดจะแต่งงานกับคังเสว่มี่บัดนี้ก็ควรจะพาไปพบเสด็จพ่อของเขาแล้ว แต่เมื่อนึกถึงท่าทีของคังเสว่มี่เมื่อสักครู่นี้ ริมฝีปากบางๆสีแดงเข้มก็เริ่มเม้มแน่นขึ้นมาเล็กน้อย โดยไม่รู้ตัว
ไป๋หลี่รุ่ยสะบัดแขนเสื้อของเขา ชุดฉลองพระองค์รัชทายาทสีเหลืองทองสื่อถึงความ องอาจเปล่งแสงสว่างไสวออกมา เขาหันเดินไปที่ด้านหลังของม้า แล้วเหยียบลงบนหลังของข้ารับใช้ ขึ้นไปบนรถม้า แล้วหันไปสั่งกับคนขับรถม้าว่า
“ตามรถม้าของจี้ซื่อจื่อที่อยู่ข้างหน้าไปให้ทัน!"
เขาจะไม่ปล่อยให้จี้อี้และคังเสว่มี่ ได้มีโอกาสได้อยู่ร่วมกัน ในเมื่อวันนี้ได้ออกมาแล้ว ก็จะไม่ยอมให้จี้อี้ ได้สมปรารถนาอย่างเป็นแน่!
ไปหลี่เหลียนมองไปที่ภาพด้านหลังของคังเสว่มี่ รอยยิ้มที่คล้ายกับว่ากําลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เมื่อหันมองไปรอบๆก็พบกับใบหน้าหล่อเหลาของไป่หลี่รุ่ยที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำ รอยยิ้มในดวงตาเขาก็ยิ่งทวีมากยิ่งขึ้น แล้วเขาก็หันไปพูดกับไป๋หลี่รุ่ย
“พี่รอง ท่านตามรถม้าของจี้อี้ มาทําไม ใยไม่กลับไปจัดการราชกิจที่ตำหนักรัชทายาท?"
ไปหลี่รุ่ยยกม่านรถม้า ขึ้นครึ่งหนึ่ง และหันกลับไปมองที่ไปหลี่เหลียน มุมปากยังคงเม้มเน้นเช่นเดิม
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เปรียบดั่งสายลมที่อ่อนโยนแสงแดดอันอบอุ่นของน้องหก ก็พลันนึกขึ้นได้ว่าความใกล้ชิดสนิทสนมกันระหว่างไป หลี่เหลียนและคังเสว่มี่เมื่อสักครู่นี้แล้ว
นํ้าเสียงที่แอบแฝงไปด้วยความเยือกเย็น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า“ทําไมวันนี้เจ้าถึงได้ออกมาด้วยกันกับเสวี ได้ล่ะ พวกเจ้ารู้จักกันตั้งแต่เมื่อใด ทําไมข้าถึงไม่รู้?"ดวงตาของไป๋หลี่เหลียนเคลื่อนไหว ท่าทีสูงส่งเยี่ยงนี้ ที่ไม่ยอมจํานนก้มหัวให้กับองค์รัชทายาทเขาเอียงตัวกระโดดขึ้นไปนั่งข้างบนคานเข็นบนรถม้า ด้วยท่าทีที่สง่าผ่าเผย นิ้วมือที่งดงามเคาะลงเบาๆบนพัดหยก ขนตาที่โค้งงอนแผ่ขยายออกดูน่าดึงดูด ไม่ใส่ใจยักคิ้วแล้วยิ้ม“แม้ว่าพี่รองจะเป็นองค์รัชทายาท แต่สิ่งที่ท่านต้องจัดการคือการบริหารราชการแผ่นดิน ข้าและเสว่มี่ที่รู้จักกันได้อย่างไรนั้น มันเป็นเรื่องส่วนตัวของข้า ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นคนมาถาม ข้าก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบ"ไป๋หลี่รุ่ยจ้องเขม็งไปที่เขาอย่างเย็นชาชั่วแวบหนึ่ง จากนั้นก็ฮัมออกมาอย่างเยือกเย็น แล้วหันหน้าไปที่คนขับรถม้าแล้วพูด “รีบตามไปเร็วเข้า!”รถม้าของไป๋หลี่เหลียน ผ้าม่านถูกยกขึ้นเขาเดินเข้าไปในรถม้าจากนั้นเขาก็หันมาพร้อมกับฉีกยิ้มที่ริมฝีปาก หันไปกวักมือเรียกชวนหลันที่ยืนอ้าปากค้างอยู่ว่า “สาวน้อย มาหาข้า สิ รถมาของจี้ซื่อจื่อ คุณหนูของเจ้าสามารถขึ้นไปได้ แต่เจ้านั้นมิอาจขึ้นไปได้”
copy right hot novel pub