“กินดื่มนอนล้วนเป็นความต้องการโดยสัญชาตญาณ ของมนุษย์ หรือว่าเจ้าไม่ต้องกิน ไม่ต้องดื่ม ไม่ต้องนอนหรือไง?”
คังเสว่มี่โบกมือ แสดงออกถึงความไม่พอใจของตนเอง
จี้อี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ
“พูดเยี่ยงนี้ก็พอมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ว่าปีหน้าเจ้าก็ถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้ว
ในฐานะที่เป็นผู้หญิง เจ้าไม่มีสัญชาตญาณคิดสักนิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ สําคัญของชั่วชีวิตเจ้าเลยหรือ?”
“ไม่คิด ยังอีกตั้งนาน จะคิดไตร่ตรองอันใด”
คังเสว่มี่ส่ายหน้า ร่างกายนางนี้เพิ่งจะอายุได้สิบสี่ปี ในยุคปัจจุบัน วัยเท่านี้ยังคงเรียนอยู่ชั้นมัธยมตอนต้นอยู่เลย
ให้มาคิดถึงเรื่องสําคัญอย่างการแต่งงาน มันเร็วเกินไปหน่อย
ในตู้รถม้ามีกลิ่นหอมของไม้จันทน์อ่อนๆ ช่วยบรรเทาความกังวลของร่างกายให้จิตใจสงบสบาย เปลือกตาบนและล่างเริ่มที่จะต่อสู้กัน
ร่างกายเอนไปพิงผนังของรถม้า แล้วค่อยๆไหลลงอย่าช้าๆ
เมื่อคืนนอนไม่ค่อยจะหลับ ตอนนี้ช่างง่วงนอนยิ่งนัก......
“ข้าขอหลับต่อนะ อยู่บนรถม้าของเจ้ามันสบายจนข้าง่วงนอนถึงโก๋วจื่อเจี้ยนแล้วเจ้าก็ปลุกข้าขึ้นมาละกัน”
นางนอนหดตัวอยู่ในรถม้า หันไปหาจี้ แล้วเอ่ย จี้อี้เห็นนางยกเปลือกตาไม่ขึ้นแล้ว ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ผ้าไหมบางๆถูกดึงออกมาจากด้านข้าง ค่อยๆเอาปกคลุมบนตัวนางเบาๆ
คังเสว่มี่รับเอาผ้าไหมมาคลุมเหมือนกับดักแด้ กลิ้งไปทางซ้าย กลิ้งไปทางขวา ผ้าทั้งหมดก็ม้วนอยู่บนตัวนาง
อุณหภูมิของอากาศในห้องนั้นแตกต่างจากด้านนอก นัก
นอนอยู่ในนี้ถ้าศีรษะไม่ปกคลุมด้วยผ้าห่มอาจหนาวเย็นเป็นแน่
นางไม่ได้อยากจะเป็นหวัดซะหน่อย!
จี้อี้ยิ้มเล็กน้อย ทําอะไรไม่ถูกเล็กน้อยแล้วเอ่ยออกมาเบาๆ
“เมื่อตอนเที่ยงวานนี้ก็ได้ยินเจ้าบอกว่าจะนอนแล้ว มาวันนี้ก็ยังบอกว่าง่วงนอน ที่แท้ก็กินแล้วก็นอน นอนตื่นแล้วก็กินนี่เอง”
คังเสว่มี่ได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาแล้วนั้นก็ดึงม้วนผ้าห่มให้แน่นขึ้น เห็นแก่คนผู้นี้ที่ปฏิบัติต่อนางได้ไม่เลวเลยทีเดียว
นางจึงไม่คิดจะโต้เถียงกับเขาแล้ว
และเสียงทุ้มๆต่ำๆนั้น น้ำเสียงเหมือนกับเสียงพิณก็ฟังดูไพเราะยิ่งนัก ฟังไปฟังมา นางก็ยิ่งอยากจะนอน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านมานานแค่ไหนแล้ว คังเสว่มี่ก็ตื่นขึ้นมาอย่างงุนงง ยื่นมือออกมาขยี้ตา แล้วเอ่ยถามด้วยท่าทางสะลึมสะลือ
“ถึงโก๋วจื่อเจี้ยนแล้วหรือยัง?"
“ยังไม่ถึง” จี้อี้เงยหน้าขึ้นชำเลืองมองไปที่นาง เห็นว่ามวยผมของนางตอนนี้ยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว เขาจึงเอ่ย
“มวยผมของเจ้ายุ่งไปหมดแล้ว จัดเก็บให้เรียบร้อยสักหน่อยเถิด”
คังเสว่มี่ ลูบมวยผมที่อยู่บนหัว มันยุ่งเหยิงอย่างที่เขาว่าจริงๆด้วย
นางจําได้ว่าตอนที่ออกจากบ้าน ชวนหลันหวีผมให้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่ามันยุ่งจากการนอนหลับไปเมื่อครู่นี้
ความงามแท้จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากเปลี่ยนเป็นยุคปัจจุบัน ตัดผมสั้นสไตล์แฟชั่นหรือยืดด้วยความร้อนให้ผมตรง
ตื่นนอนขึ้นมาแล้วใช้มือหวีผมไม่กี่ครั้ง ก็สามารถออกไปพบปะผู้คนได้อย่างง่ายๆสบายๆแล้ว
คังเสว่มี่เอื้อมมือไปดึงปิ่นปักผมออก นางก็ยังคงนั่งอยู่ตรงที่เดิม ผมสยายราวกับนํ้าตกโรยลงมา แผ่กระจายออกอยู่บนรถม้า
ร่างเดิมก็ไม่ได้รูปร่างตัวสูงมาก ผมช่างยาวอย่างรวดเร็ว ทั้งดำทั้งยาวและยังสว่างเงางาม เหมือนกับมีผ้าดิ้นเงินดิ้นทองสีดำผืนหนึ่งคลุมอยู่บนร่างกายนาง ราวกับว่ามีผ้าที่โปร่งบางสีดำได้ปกคลุมความลับอีกชั้น
จี้อี้มองที่นาง ขนตายาวๆของนางค่อยๆคล้อยลง ดวงตาส่องแสงประกายเล็กน้อย
คังเสว่มี่มองดูปิ่นปักผมที่อยู่ในมือแล้วแอบพูดอยู่ในใจ
มวยผมนี้นางไม่สามารถที่จะม้วนมันด้วยปิ่นนี้ได้จริงๆ นางรู้สึกอึดอัดใจที่จะมองไปที่ผมยาวที่คล้ายกับย้อมไปด้วยหมึกสีดำนี้ เขาจึงตัดสินใจที่จะทําตามวิธีของตนเอง
นางรวบผมทั้งหมดขึ้น ทำทรงง่ายๆที่ดีที่สุด “มีหวีหรือไม่?” คังเสว่มี่เอ่ยปากถาม รถม้าของจี้อี้ก็เปรียบเสมือนหีบสมบัติ ทั้งของกิน ของใช้ หนังสือ ล้วนมีครบทุกอย่าง
เขาขยับที่ไหนสักที่เล็กน้อย กล่องเครื่องแต่งตัวขนาดเล็กก็โผล่ออกมา คังเสว่มี่หยิบเอาหวีหยกมาหวีผมรวบขึ้นอย่างรวดเร็ว
เห็นนางเอาผมมาม้วนๆ มันเหมือนกับจานสีดำติดอยู่ด้านหลังบนศีรษะนาง
ดวงตาของจี้อี้เคลื่อนไหว ในที่สุดเขาก็ปริปากพูด น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ไพเราะน่าฟังมีความชัดเจนมากอยู่ ภายในตู้รถ เขาส่ายหัวถอนหายใจแล้วเอ่ย
“มีเพียงหญิงสาวที่แต่งงานแล้วเท่านั้น ถึงจะรวบผมม้วนขึ้นไปทั้งหมดเช่นนี้ได้
เจ้ากำลังจะบอกทุกคนว่า นั่งอยู่ในรถม้าของข้าไปรอบหนึ่ง เจ้าก็กลายเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วอย่างนั้นหรือ”
คังเสว่มี่กระตุกมุมปากเล็กน้อยกฎระเบียบในยุคนี้ช่างเยอะเสียจริง
ผู้หญิงเอาผมรวบม้วนขึ้นทั้งหมดก็ถือว่าเป็นผู้หญิงที่ แต่งงานแล้ว
ตอนที่นางขึ้นไปบนรถก็ยังเป็นคนปกติ ลงจากรถก็กลายเป็นหญิงที่แต่งงานแล้วเสียนั่น นี่ไม่ใช่เป็นการบอกคนทั้งโลกว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง และเจ้าอุบายจี้หรือ?
คังเสว่มี่รีบยกมือขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วดึงปิ่นปักผมลงมา ปล่อยให้เส้นผมสีดำสามพันที่พึ่งม้วนเสร็จไปเมื่อครู่ ตกลงมาอีกครั้ง หน้านิ่วคิ้วขมวดมองดูผมสีอีกาดำนี้
“งั้นจะทําเยี่ยงไรล่ะ ข้าก็ไม่รู้วิธีจะเกล้าผมสวมใส่กับปิ่นนี่ได้เช่นไร
ถ้าไม่เจ้าก็ไปส่งข้ากลับจวน ข้าจะให้ชวนหลันหวีให้อีกหน!”
จี้อี้เอ่ยออกมาอย่างเบาๆ “เมื่อวานนี้ข้าให้คนนำจดหมายไปส่งให้สวี่จี้จิ๋ว บอกว่าวันนี้จะพาเจ้าไปถึงโก๋วจื่อเจี้ยนในยามเฉิน เรียบร้อยแล้ว
ถ้าหากว่าเจ้าไม่ใส่ใจ ข้าสามารถให้ฉวี่ซางไปบอกสวี่จี้จิ๋วได้ว่าเป็นเพราะว่าเจ้านอนหลับจนมวยผมยุ่งเหยิง จําเป็นต้องกลับไปจัดระเบียบให้เรียบร้อยที่บ้าน ทำให้การไปลงทะเบียนในวันนี้ล่าช้าออกไป
(จี้จิ๋ว : ชื่อนักวิชาการโบราณ เป็นข้าราชการรับผิดชอบในการควบคุมดูแลโก๋วจื่อเจี้ยน)
คังเสว่มี่มองที่จื้อี้อย่างคับแค้นใจ เมื่อวานนี้นางเข้าใจว่า รู้ผลคะแนนการสอบในทุกๆปี แล้วอาจารย์ในแต่ละสาขาวิชาจะทำการประเมินผลแต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงต้องส่งมอบให้ไปอยู่ในมือของ สวี่จี้จิ๋วสุดท้ายทำการให้คะแนนในด้านความประพฤติและ คุณธรรม ถึงจะถือว่าเป็นผลคะแนนสุดท้ายและสวี่จี้จิ๋วคนผู้นี้ปฏิบัติตามกฎระเบียบเป็นที่สุด การที่ปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดและเข้มงวดแน่นอนว่า ต้องไม่ชอบนักเรียนที่มาสายเป็นแน่เพราะต้องหวีจัดมวยผมดังนั้นจึงทำให้มาสาย เหตุผลนี้มันช่างสละชีวิตจริงๆ!นางไม่ได้ต้องการที่จะเริ่มต้นโดยการสร้างความ ประทับใจที่ไม่ดีถึงเพียงนี้ไว้ให้แก่สวี่จี้จิ่วในครั้งแรกถ้ารู้แต่แรกว่าจะยุ่งยากถึงเพียงนี้ เมื่อครู่นี้นางคงไม่นอนหลับไป“งั้นจะทำเยี่ยงไร ถ้าผมสยายไป เกรงว่าข้าจะถูกไล่ออกมาในทันทีเลยน่ะสิ!”ไม่ต้องพูดถึงว่าคนสมัยโบราณให้ความสำคัญกับเรื่องมารยาท แม้ผู้คนในยุคปัจจุบันสวมใส่เสื้อผ้ามอมแมมสกปรกผม เผ้าสยายรุงรังไปโรงแรมใหญ่ๆ ก็โดนผู้คนขัดขวางให้ออกมาเช่นเดียวกันผู้ที่แต่งตัวไม่เรียบร้อย จะไม่ได้รับการต้อนรับ!“อืม อาจเป็นไปได้ " จี้อี้เห็นบนใบหน้าเล็กๆของนางหน้านิ่วคิ้วขมวดเต็มไป ด้วยท่าทีกังวล......
copy right hot novel pub