นางรู้สึกอยากจะบ้าตาย อีกนิดเดียวก็จะโดนจี้อี้พันรอบตัวแล้ว คิดได้ดั่งนั้นดวงตาหงส์ก็เบิกกว้างขึ้นพูดน้ำเสียงโมโห
“แต่หลังจากที่เจ้าดึงข้าขึ้นมาแล้วเจ้าก็ปล่อยข้าสิ! จะกอดไว้แน่นทำไมกัน!”
จี้อี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนกำลังพิจารณาคำถามอยู่ ชั่วพริบตาก็ยิ้มออกมา
“อ่า ข้าลืมไปเลย"
คังเสว่มี่เก็บความโกรธไว้ในใจจนต้องแสดงท่าทางดุดันกระฟัดกระเฟียดออกมาได้ นางโดนเอาเปรียบชัดๆ กลับถูกคนตรงหน้าพูดจาออกมาอย่างใจจืดใจดำว่า
“ข้าลืม” ตอกกลับมา!
จะไปยอมได้ยังไง!
แต่ทะเลาะก็ยังสู้เขาไม่ได้ สู้กันก็แพ้เขาอีก ต้องทํายังไงถึงจะตอกกลับเขาได้นะ? คังเสว่มี่มองจี้อี้ค่อยๆชำเลืองมองพลางรวบผมยาว สลวยของตนและพูดกับจี้อี้ว่า
“ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล แต่ว่าทำไมเจ้าถึงได้ดีกับคนอื่นนัก”
คำพูดแสนหวานลอยเข้าหูจี้อี้ ดุจสายน้ำรินไหลจนทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมามอง เล็กน้อย
คังเสว่มี่เห็นดังนั้นก็โกรธมากขึ้นไปอีก
“เจ้าไม่รู้หรือว่าหญิงสาวนั้นไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้?”
คำพูดแรกๆก็นุ่มนวลราวดอกไม้อยู่หรอกแต่ทำไมครึ่ง หลังถึงได้เหมือนซ่อนความเย็นมาเอาไว้นะ
สายตาจี้อี้ทอประกายและคมกริบอยากจะหลบมือของ นางแต่กลับพบว่าวิธีของนางนั้นดูเหมือนจะช้าแต่ที่จริงนั้นเร็วมาก
รอจนสัมผัสนุ่มนวลหายไปถึงได้รับรู้ความเจ็บปวดที่ ปะปนอยู่ตรงกลางอก
“ฮ่าฮ่า ในที่สุดข้าก็แทงเจ้าโดน!”
คังเสว่มี่ดึงมือกลับมาอย่างรวดเร็วในมือเล็กนั้นมีปิ่นปักผมแท่งเล็กสายตาแสดงออกถึงความภูมิใจ
เห็นนางมีท่าทางเหมือนแมวกำลังขโมยกินปลาอีกทั้งใบหน้านั้นทั้งยิ้มอย่างภาคภูมิใจและมีเล่ห์เหลี่ยม จี้อี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ดวงตาคมแสดงออกถึงความสุข ช่างเป็นเด็กที่ไม่ยอมเสียเปรียบเลยจริงๆ
นางในแบบนี้แถมยังสดใสมีชีวิตชีวาทำให้ใจของเขานั้นเต้นหนักจนจะหลุดออกมา
จี้อี้ดึงฝ่ามือกลับ ภายใต้กระบอกแขนเสื้ออันกว้างฝ่ามือค่อยๆคลายออก ที่จริงตอนที่นางแทงเข้ามาเขานั้นได้ใช้กำลังภายใน ป้องกันฝ่ามือเอาไว้แล้ว
“หรือว่าเจ้าอยากจะพิสูจน์อีกครั้ง คนที่เก่งกว่าเจ้าไม่สามารถล่วงเกินเจ้าได้เลยหรือ?”
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเรียบนิ่ง น้ำเสียงเองก็เหมือนอ่อนโยนและงดงามเหมือนเดิม ทว่าคิ้วของคังเสว่มี่กลับกระตุกไปมา
ความภาคภูมิใจเมื่อกี้ก็พลันสลายหายไปพลางพูด พิมพำกับตัวเอง
“เจ้าจะลองอีกรอบไหมล่ะ?”
คนที่โดนกดดันไม่สามารถขยับตัวได้แม้แต่นิดและก็ไม่สามารถต่อต้านความรู้สึกตัวเองได้อีกด้วย นางไม่ชอบเลย จี้อี้หรี่ตาคมมองนางพลางพูดด้วยน้ำเสียงแผ่ว
เบาว่า
จี้อี้หรี่ตาคมมองนางพลางพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
“เมื่อสักครู่นี้ก็เพื่อเป็นประสบการณ์ของตัวเจ้าเอง เจ้าคิดว่าตอนนี้เจ้ายังจะนั่งอย่างปลอดภัยอยู่อย่างนี้ได้หรือ ถ้าหากข้าจะเอาเปรียบเจ้าจริงๆ”
คังเสว่มี่ทั้งอายทั้งโมโห แต่ก็ไม่อยากจะยอมรับว่าที่เขาพูดนั้นมันถูกไปเสียหมด ถ้าหากเขานั้นอยากหยอกล้อนางจริงๆ แล้วใยถึงเข้าใกล้แค่นี้?
ชายตามองขึ้นเห็นเขาซ่อนมือไว้ภายใต้กระบอกแขนเสื้อ ถึงแม้ว่าตัวเองนั้นจะไม่ได้ใช้แรงอะไร ทว่าปิ่นปักผมก็แหลมอยู่พอตัว
ไม่รู้ว่าทำให้เขาบาดเจ็บหรือไม่
รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนักถามออกไปอย่างร้อนรน
“เอ่อ...เมื่อสักครู่เจ้าเจ็บหรือไม่?”
เห็นสีหน้าไม่สบายใจของนาง สายตาปลิ้นปล้อนคิดไม่ซื่อของจี้อี้ก็ซ่อนไม่อยู่ เขาค่อยๆหลับตาลง ขนตางอนยาวราวปีกนกปกคลุมดวงตาดำสนิทเกิดเป็นเงาผาดยาวพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยใส่ใจเท่าไร นัก
“เจ็บนิดเดียวไม่เป็นไรหรอก”
เด็กสาวเหมือนจะลืมไปสนิทว่าเขานั้นเพิ่งจะกอดนาง แน่นไปเมื่อกี้ ถึงแม้ร่างกายของนางยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทว่าอ้อมแขนที่เรียวบางและว่องไวของนางนั้นก็มีกลิ่นหอมและความอ่อนช้อยที่เป็นเอกลักษณ์ของนาง
คุ้มค่าที่จะขบคิด
“ทว่า....”
คังเสว่มี่ไม่เคยทำเรื่องผิดอะไรแต่เขาก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ตอนนี้รถม้าได้หยุดแล้ว เสียงของฉวี่ซางดังออกมาจากข้างนอก
“ซื่อจื่อ คุณหนูใหญ่คัง ถึงประตูหน้าของวังหลวงแล้วขอรับ”
“อือ” จี้อี้ส่งเสียงตอบรับพร้อมกับลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใยของคังเสว่มี่ก็ถึงกับต้องอมยิ้ม
ความรู้สึกแปลกในใจเมื่อสักครู่ของเขาถูกซ่อนเอาไว้ ดวงตานั้นกลับมาน่าเคารพและสง่างาม
“ยังไม่ลงจากรถอีก วางแผนจะนั่งในรถทั้งวันเลยหรือ?”
“เปล่าเสียหน่อย" คังเสว่มี่เปิดม่านออกและกระโดดลงจากรถม้าก่อน
ความกังวลเล็กๆในใจหายไปเมื่อยามเขาเปิดปากพูด
ปากร้ายแบบนี้ถึงแม้จะถูกแทงก็คงไม่ส่งผลอะไรต่อ นิสัยปากร้ายของเขาหรอก
จี้อี้เห็นนางกระโดดลงจากรถถึงได้ลุกขึ้นยืนช้าๆ ไม่เห็นทรวดทรงของเขาแววตานั้นเปลี่ยนไปพลางพูด ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ฉวี่เฟิง!”
“ขอรับซื่อจื่อ” วิ่งมาอยู่ข้างรถด้วยความรวดเร็วพร้อมกับก้มหัว
จี้อี้ลงจากรถม้าจับกระบอกแขนเสื้อสีหน้าไม่ต่างจาก เดิม
“ทางตะวันตกเฉียงใต้มีคนตามรถม้ามารีบไปตรวจ สอบ”
ฉวี่เฟิงตอบกลับไปว่า “ขอรับ ซื่อจื่อ”
เมื่อพูดจบก็หายไปอย่างรวดเร็วจนลมกรรโชกไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย
คังเสว่มี่ยืนอยู่หน้าประตูก็รู้สึกได้ถึงลมกรรโชกพัด ผ่านจนผมปลิวไสวสายตามองไปรอบ ๆอย่างสงสัย
“เมื่อสักครู่มีคนยืนอยู่ตรงนี้หรือไม่?"
เมื่อสักครู่นางรู้สึกได้ถึงลมปราณอย่างชัดเจน
แต่เมื่อดูไปรอบๆกลับไม่เห็นแม้แต่เงาของคน หรือว่านางจะรู้สึกไปเองหรือว่ามีคนอยู่จริงๆนะ?
เมื่อได้ยินดังนั้นจี้อี้ก็เงยหน้ามองนาง สายตานั้นลึกลับและคาดเดาไม่ได้
ฉวี่เฟิงนั้นซ่อนกายได้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าฉวี่เยน ก่อนที่จะมีฝีมือบนโลกนี้คนที่จะรู้สึกได้ถึงคนของเขา นั้นมีไม่เกินสิบคน
คังเสว่มี่กลับรับรู้ได้
เขามองอย่างสงสัยแต่ก็ปรับสีหน้ากลับมาให้เหมือน เดิมพลางยิ้มออกมา
“แน่นอนว่ามีคน ไม่ใช่ข้าหรือไงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า?”
คังเสว่มี่กลอกตามองเขา
“ข้าไม่ได้ตาบอด แน่นอนว่าข้าเห็นเจ้ายืนอยู่ตรงหน้าข้า”
นางมองไปรอบๆอีกครั้งก็พบว่าไม่มีใครอยู่ความรู้สึก เมื่อสักครู่ก็พลันหายไปจึงโบกมือไปมา
“ช่างเถอะๆ ข้าอาจจะคิดไปเองไปกันเถอะ”
จี้อี้ยืนอยู่ข้างหลัง เห็นนางเดินด้วยท่าทางอ่อนช้อยยกกระโปรงเดินขึ้นบันได้วังหลวง
ก็เดินตามนางพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็หันไปมองทางทิศตะวันตกเฉียงใต้สายตาเต็มไปด้วยความกระหาย
ใบไม้เขียวผสมผสานกับหมู่มวลบุษบาแดงฉาน นกน้อยเกาะกิ่งไม้ประสานเสียงแสงสีทองทอประกาย ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นช่างสวยวิจิตรตระการตาเปล่งประกายระยิบระยับ
แต่มุมมองที่มักจะมองไม่เห็นมักจะมีกลุ่มคนบางคนซ่อนตัวอยู่รอบๆด้วยเพราะสาเหตุนี้
ชายชุดดำสองคนที่ซุ่มอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากต้นจันทน์
หนึ่งในนั้นส่งเสียงออกมาด้วยความร้อนในใจ
“รองเจ้าสํานักพวกเราตามมาไกลขนาดนี้แล้วแต่มองยังไงก็ไม่ว่ามันมีประโยชน์อะไรถึงแม้ว่าจะมีบางอย่างผิดปกติไปก็มองไม่ออกอยู่ดี”สายตาเย็นชาของคนที่ถูกเรียกว่ารองหัวหน้ามองอย่างเรียบนิ่งไปที่เขา“นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้ามาเรียนรู้เพราะฉะนั้นข้าจะไม่ตำหนิเจ้าแล้วก็ไม่ต้องพูดด้วยว่าทำไมเจ้าสำนักถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนั้นเพียงแค่คอยจับตามองรถม้าข้างหน้าก็พอแล้วคนที่นั่งอยู่ในนั้นคือจี้ซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องจี้วรยุทธของเขานั้นไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าอยู่ในระดับใด แต่ว่าอย่างน้อยก็อยู่เหนือกว่าองค์ชายทั้งหก แล้วที่เจ้ายืนตรงถนนเมื่อกี้ถ้าหากไม่ใช่ข้าที่ลากเจ้ากลับมาได้ทันเจ้าก็คงโดนพบไปแล้ว”สายตาของศิษย์ใหม่นั้นแสดงออกถึงความสงสัยจนคิ้วขมวด“รองเจ้าสํานัก ข้าน้อยเมื่อกี้เกือบจะโดดำปที่รถม้าเสียแล้วเพียง เพราะความรีบร้อยเกือบทำให้เกิดความผิดพลาด ต้องขอขอบคุณรองเจ้าสำนักที่เมตตาให้อภัยข้า เพียงแต่ว่าข้าน้อยได้ยินมาตลอดว่าองค์ชายเสวีเยว่คนนั้นเก่งกาจยิ่งนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วเขานั้นแทบไม่ได้แสดงฝีมือเลย แล้วทำไมข่าวลือของเขาไม่ว่าจะในยุทธภพหรือใน ราชวงศ์ถึงได้ลึกลับและเป็นตำนานขนาดนี้ ข้าน้อยกำลังคิดว่าเขานั้นกำลงเขียนเสือให้วัวกลัว แผ่ขยายอำนาจของเขา?”สายตาของรองหัวหน้ายังคงจับจ้องอยู่ข้างหน้า สมองกำลังคิดถึงเรื่องที่เขามา..........….…...จี้ซื่อจื่อสามารถทำให้ผู้คนหลบหลีกได้ไม่กล้าเข้าไป ยั่วโมโหไม่เพียงแต่จะทำให้เขานั้นกลายเป็นอัจฉริยะไร้คู่ต่อสู้ตอนที่เขาอายุสิบสอง อ๋องฉินพระอนุชาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้ทำการก่อกบฏและได้นำขุนพลที่แบ่งพรรคแบ่งพวกไว้เข้าไปยัง พระราชวังจินล้วนเตี้ยน บังคับให้ฮ่องเต้นั้นยกบัลลังก์ให้ มิเช่นนั้นจะสังหารเหล่าขุนนางทั้งหมดในวังพอดีกับตอนนั้นจี้ซื่อจื่อโดนเรียกตัวเขาพระราชวัง ดาบของอ๋องฉินกำลังจ่อที่ขอของเขาอยู่ทำให้ ประชาชนลุกฮือไม่มีใครเห็นชัดว่าจี้ซื่อจื่อตอนนั้นลงมืออย่างไร เมื่อยามที่สายตามองเห็นก็พบว่าอ๋องฉินที่ต่อสู้มาอย่าง ยาวนานนั้นมีดาบคาอยู่ที่หน้าผาก ทำให้เหล่าผู้คนที่กำลังแตกตื่นตกใจรู้สึกหมดหวังจ้อง มองไปยังชายหมุ่นที่อยู่ตรงหน้า
copy right hot novel pub