จี้อี้มองไม่เห็นเขา เพียงแค่มือที่สะอาดไม่มีคราบเลือดผลักเขาออกไปจน ต้องขมวดคิ้วพลางกระซิบว่า
“เจ้าเข้าใกล้เกินไปแล้ว”
ผู้คนเห็นอ๋องฉินถูกผลักออกไปไม่ใกล้ไม่ไกลประมาณสามฟุต
เพียงแค่พริบตาเดียวทุกคนก็เริ่มสรรเสริญยกย่องเด็ก หนุ่มคนนี้
เคารพเลื่อมใสว่าเขานั้นไม่อาจมีใครเทียบเทียมน่าทึ่งเหลือเกิน
ความหวาดกลัวที่ซ่อนเอาไว้เย็นชาเฉกเช่นดวงจันทร์
แม้ว่าฮ่องเต้จะถูกบังคับให้สละบัลลังก์ เขานั้นก็ยังคงเย็นชาดั่งเช่นวันแรกเพียงแค่ถูกคนเข้า ใกล้สามฟุตเมื่อไรก็ต้องลงมือทันที
ตอนนั้นอ๋องฉินเองก็เป็นหนึ่งในยอดฝีมือ จี้ซื่อจื่อตอนอายุสิบสองฝีมือก็ยังไม่ได้มีมากฝีมือยังไม่ถึงขั้นขนาดนั้นที่มากไปกว่านั้นคือจี้ซื่อจื่อที่ตอนนี้อายุสิบแปด
เสียงของเขานั้นยิ่งเย็นชาเข้าไปอีก “มันคงจะดีกว่าถ้าระมัดระวังไว้ ดูเหมือนว่าองค์หญิงน้อยกับเขาเดินใกล้กันขนาดนี้ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคงไม่ธรรมดา เจ้าสำนักเคยบอกว่า ทุกอย่างนั้นก็เพื่อความปลอดภัยขององค์หญิงน้อย"
ศิษย์ใหม่ได้ฟังก็เบิกตากว้างอ้าปากค้าง ทว่าก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างที่เกินไปเสียหน่อยบ่นพึมพำ กับตัวเอง
“อายุสิบสองยังเก่งขนาดนั้น ไม่โอ้อวดเกินไปหน่อยหรือ...”
สายลมเบาไร้เสียงพัดผ่านในกลางอากาศผ่านใบไม้ เล็ก ๆไปยังตำแหน่งที่ทั้งสองคนซ่อนตัวอยู่ คมดาบเริ่มเหมือนกับปีศาจร้ายล่องลอยไปมาใน อากาศ...
ศิษย์ใหม่ยังคงพูดไปเรื่อยอย่างไม่หยุดปาก เจ้านี่ก็ยังไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเหมือนเดิมตั้งแต่เข้ามายังดีที่รองเจ้าสำนักเริ่มหมดความอดทน ตอนนี้อยู่ที่ห้องโถงแยก
ถ้าหากอยู่ที่สำนักละก็...
ปากมากแบบนี้คงได้ถูกเจ้าสำนักลากไปถลกหนังนาน แล้ว
เขาหันกลับมาเพื่อที่จะเตือนเขาอีกครั้ง พลันสายตาเบิกกว้าง แสงแห่งความเยือกยเนผสานกับแสงสีแดงฉานร้อน ม่านตาหดลองอย่างรวดเร็วร่างค่อยๆลอยขึ้นกลาง อากาศห่างจากพื้นดินเรื่อย ๆ แรงเบ้าตาของเขา
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเอ่ยปากเตือน!
แต่เพราะเขาไม่เคยเตือนในสิ่งที่จำเป็น!
เจ้าเด็กใหม่นั่นอ้าปากกว้าง ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองร่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่าง ฉับพลัน ถึงตายก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาถึงต้องตาย!
“เจ้าเป็นใครกัน ทำไมต้องลอบโจมตีกันด้วย?"
รองเจ้าสำนักมองกลุ่มอากาศสีเทาที่ล่องลองอยู่ใน อากาศอย่างระมัดระวังพลางใช้น้ำเสียงแสบแก้วหูถาม ออกมา
ฉวี่เฟิงเผยสายตาเย็นชาไม่สนใจคำพูดของรองเจ้า สํานักพลางถามกลับไปว่า
“ใครส่งพวกเจ้ามา?”
จี้อี้และคังเสว่มี่ลงจากรถม้า
ยามเฝ้าประตูกระวีกระวาดมาเปิดประตูทันที
“ซื่อจื่อ ท่านกลับมาแล้ว"
จี้อี้พยักหน้าเบาๆและเดินเข้าตำหนักพร้อมกับคังเสว่มี่
ตำหนักอ๋องจี้นั้นต่างกับตำหนักอ๋องคังทุกประการ ตอนนั้นที่ร่วมกับฮ่องเต้องค์ก่อนปราบปรามราชวงศ์ฉีเทียน
แต่งตั้งข้าราชสำนักที่มีผลงานยิ่งใหญ่ให้ดำรงตำแหน่งอ๋อง
เฉกเช่นอ๋องจี้ในวันนี้กลับไม่อยู่ในเมืองหลวงแต่ก็ถูกฮ่องเต้ส่งไปดูแลเรื่องต่างๆตามชายแดนดังนั้นคนในตำหนักอ๋องจี้จึงมีน้อยกว่าตำหนักอ๋องคัง
ตอนนี้อ๋องจี้พร้อมกับพระชายาและบุตรธิดา ทั้งหมดก็เดินทางไปยังเมืองชายแดน
นอกจากพระชายาคนก่อนกับจี้ซื่อจื่อก็ยังมีนางสนมที่อ๋องจี้ไม่ได้พาไปด้วยและเหล่าบุตรธิดาที่ยังอยู่
ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ได้เข้ามายังตำหนักอ๋องจี้ คังเสว่มี่รู้สึกว่าแต่ละตำหนักนั้นแตกต่างกันอยู่บ้าง บรรยากาศรอบๆก็ไม่ต่างกันเท่าไร
ควรจะเป็นบรรยากาศที่สุขุมเงียบสงบ แกะสลักและจิตรกรรมงดงามแสดงความยิ่งใหญ่ของวังหลวง
ใครจะไปรู้เมื่อเข้ามายังตำหนักอ๋องจี้แล้วต้นไม้นั่น เขียวชอุ่มดอกไม้บานสะพรั่งรายร้อยไปตามทาง
ดวงอาทิตย์ส่องแสงผ่านกิ่งไม้และใบไม้ที่หนาแน่นปิดกั้นแสงแดดที่แผดเผาเกือบทั้งหมดและสีเขียวชอุ่มดูเหมือนจะปิดกั้นความร้อนในฤดูร้อนได้เป็นอย่างดี
หินอ่อนลายครามปูไปตามทางเดินของตำหนักใหญ่ที่ คดเคี้ยว
คังเสว่มี่ชื่นชมทิวทัศน์รอบข้างพลางถามออกมาว่า
“จี้อี้ เข้ามาตำหนักของเจ้าแล้วข้ารู้สึกผ่อนคลายมากๆ คงไม่ใช่เจ้าออกแบบหรอกนะ”
จี้จี้หัวเราะเล็กน้อย “ตำหนักนั้นสร้างตั้งแต่ช่วงของเสด็จปู่ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
คังเสว่มี่แอบคิดว่า แม้แต่สวนในสมัยนี้ก็ยังไม่เคยเห็นที่ไหนออกแบบได้สวยงามขนาดนี้มาก่อน
“เดินไปไหนก็ร่มเงา ดีกว่าพวกของที่ดูปลอมและฉูดฉาดเหล่านั้นตั้งเยอะ”
“ถ้าหากเสด็จปู่ได้ยินที่เจ้าพูดคงดีใจน่าดู”
จี้อี้หันข้างมองคังเสว่มี่เลิกคิ้ว
“ข้าพูดความจริง รูปแบบลักษณะเช่นนี้ไม่เหมือนเจ้าสักนิด”
จี้อี้ก้มศีรษะลงไปมองนางเลิกคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มที่เต็มไปด้วยความหมายแฝง
“อืมไหนเจ้าบอกข้าสิถ้าเป็นข้ามันควรจะออกแบบให้เป็นใน ลักษณะใดกัน?”
จี้อี้ต้องออกแบบเป็นแบบไหนอะไรกัน!
คังเสว่มี่ขมวดคิ้วของนางช้าๆ เดินตามเขาไปและคิดไตร่ตรองเรื่อยๆ กลิ่นหญ้าที่ลอยอยู่ในอากาศถูกแทนที่ด้วยกลิ่นหอม บางอย่าง
กลิ่นนี้ช่างหอมยิ่งนักทำให้คนที่ไม่ชอบกลิ่นฉุนอย่าง นางถึงกับอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าไปลึกๆ
ทันใดนั้นดวงตาเป็นประกายพลางชี้ไปทางด้านหน้า
“เจ้า ต้องเป็นความรู้สึกแบบนี้แหละ!”
ทันใดนั้นดวงตาเบิกกว้างขึ้นและมีคลื่นสีน้ำเงินปรากฏขึ้นตรงหน้า ใบไม้กลมสีเขียวลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ดอกบัวสีขาวลอยเด่นอยู่ตรงกลาง
ใบบัวมีสีเขียวอนันต์และดอกบัวมีสีแดงฉานสามารถ มองเห็นได้จากระยะไกล
ต้นไม้ร้อยปียื่นกิ่งก้านสาขามาจากอีกฝั่ง กิ่งไม้ประดับประดาไปด้วยเส้นสีทองแขวนไว้อยู่พร้อมกับสลักตัวหนังสือสามตัว.....ตำหนักวี่หลัน
ตัวหนังสือสามตัวที่แกว่งไปมา ทางเข้าสีขาวซีดทอดยาวจากชายฝั่งของทะเลสาบ
กล้วยไม้สีหิมะนับพันคดเคี้ยวเหมือนแสงที่สอดส่องมา จากทะเลและท้องฟ้าและแหล่งกำเนิดแสงอยู่ที่ส่วนท้ายตำหนัก
แต่ละฉากเป็นเหมือนความงามของภาพวาดที่แกะสลัก โดยสวรรค์เชื่อมโยงกับธรรมชาติและความเรียบง่าย
นําหนักหลัน ผ้าไหม หลัน
คังเสว่มี่มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา “นี่คือที่ที่เจ้าอยู่หรือ?”
จี้อี้พานางเดินผ่านเขตกล้วยไม้หิมะสีขาว พลางถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ดูเหมือนว่าความรู้สึกของเจ้าจะถูกนะ ที่นี่คือที่พำนักของข้า"
คังเสว่มี่เกิดความอิจฉาขึ้นในใจ
ตอนที่ยังไม่เห็นตำหนักวี่หลันนางก็พอใจกับตำหนักหลิงหลงของตนเองอยู่มากโข
แต่เมื่อได้มาเห็นตำหนักวี่หลันพลันคิดว่าที่ที่ตนเองอยู่ นั้นช่างน่าเกลียดเสียนี่กระไร!
“คลื่นลายครามผสานกล้วยไม้วายุแสงพัดผ่านแท่นหยก มิน่าจี้ซื่อจื่อถึงได้มีความสุขถึงเพียงนี้!”จี้อี้หันกลับมามองนาง“นี่ก็เป็นกลอนที่เจ้าสร้างเองอีกหรือไง?”“ใช่ อาจารย์ฟางเคยกล่าวไว้ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการประพันธ์กลอนนั้นต้องเข้าถึง อารมณ์ความรู้สึกและสถานการณ์ เมื่อรู้สึกก็ถ่ายทอดออกมา ทำไมหรือ จี้ซื่อจื่อทำไมแต่งออกมาดีอย่างนั้นหรือ? ข้าเพิ่งเป็นเด็กนักเรียนเข้าใหม่ขออภัยข้าด้วย”คังเสว่ที่รู้ว่าวิธีการแต่งกลอนของตัวเองดี จี้อี้เองก็เช่นกันแต่ว่าตอนนางเข้าเรียนที่โก๋วจื่อเจี้ยนจะมีอะไรอีกนอกจากสิ่งที่อาจารย์สอนจี้อี้สํารวจใบหน้าของนางพลางยิ้มออกมา“ข้าว่าก็ถือว่าดีมากโดยเฉพาะ....วายุแสงพัดผ่านแท่นหยก ทำไมวันนี้ไม่นำลมของเจ้ามาเสียละ"“เจ้าว่าลมของข้า ที่จริงมันก็ไม่แย่ ลมนั้นทั้งอิสระทั้งสง่างาม ขอบใจมากสำหรับคำชม"คังเสว่มี่ทำท่าทางคำนับน้อมรับคำชมและยิ้มอย่างสง่างามคำพูดถากถางของจี้อี้นางนั้นชินเสียแล้วและเรียนรู้ที่ จะรับมือสายตาสอดส่องไปยังสองข้างทางที่ประดับไปด้วย กล้วยไม้สีขาวราวหิมะ พลางใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้ม นี่ต้องใช้เวลามากเท่าไรกันถึงจะได้ดอกกล้วยไม้ที่ ใหญ่ขนาดนี้แถมยังทำให้พวกมันเบ่งบานละลานตาพร้อมกันจน เหมือนกับอยู่ท่ามกลางหิมะขาว
copy right hot novel pub