ดังนั้นเด็กน้อยไม่สามารถเป็นผู้นำได้ ในตอนนั้นทุกอย่างในตำหนักก็เลยตกเป็นของชายารองติงที่เสแสร้งแกล้งทำ เมื่อนางให้กำเนิดบุตรของตนเองได้ไม่นาน ก็เมินเฉิยต่อเด็กที่ไร้มารดาอย่างคังเสว่มี่และคังวี่จิ่นไป ช่างน่าเจ็บปวดใจยิ่งนัก
แต่เพราะความมักใหญ่ใฝ่สูง ชายารองติงจึงไปพูดกับอ๋องคัง เรื่องการเลี้ยงดูเด็กทั้งสอง เพื่อหวังจะให้ตัวเองได้นำเด็กทั้งสองคนไปเลี้ยงดูอ๋องคังจึงตอบตกลง
เมื่อชายารองติงได้สิทธิ์ในการรับเลี้ยงเด็กทั้งสองแล้ว ต่อให้นสงไม่อยากเลี้ยงดูลูกของผู้อื่นก็เถอะแต่ เพราะนางต้อการชื่อเสียงลาภยศ ดังนั้นเมื่อข่าวลือการเลี้ยงดูเด็กทั้งสองแพร่งพรายออกไป แน่นอนว่าจุดประสงค์ของนางก็บรรลุผลแล้ว อ๋องคังเองก็ได้มองเห็นเจตนาดีในเรื่องที่นางพาเด็กไป จึงยกเรื่องของการจัดการวังหลังในตำหนักอ๋องให้ นางจัดการ
แต่แล้วไม่กี่ปีหลังจากนั้น ชายารองติงอยากให้กำเนิดพระโอรส แต่เรื่องไม่เป็นดั่งที่นางปรารถนา ในท้องของนางไม่สามารถตั้งครรภ์พระราชโอรสได้
อีกทั้งนางสนมผู้อื่นในตำหนักหลัง ก็ไม่มีใครสามารถตั้งครรภ์พระโอรสได้เลยแม้แต่คนเดียว แต่พระราชธิดาในตำหนักอ๋องคังกลับมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงตอนนี้
ชายารองติงก็รู้แล้วว่าอัตราในการให้กำเนิด พระราชโอรสของตัวเองมีไม่มากนัก โชคดีที่นางยังมีสติปัญญา จึงได้ทำการรับคังวี่จิ่นมาเลี้ยงดูอยู่ข้างกาย
ตำหนักอ๋องในตอนนี้ หากปล่อยคังวี่จิ่นสืบราชบัลลังก์ต่อ ก็ยังกลัวว่าเขาจะไม่ซาบซึ้งในพระ มหากรุณาธิคุณอย่างนั้นหรือ?
แต่คนอย่างชายารองติงผู้นี้ เดาได้เลยว่าสำหรับนางนั้นจิตใจของผู้อื่นก็แย่เหมือนกับ จิตใจต่ำช้าเลวทรามของนาง
นางคิดว่าคังวี่จิ่นไม่ใช่บุตรชายที่นางเป็นผู้ให้กำเนิด
กลัวว่าเลี้ยงดูจะมีอนาคตที่สดใสในอนาคตดีเกินไป การควบคุมดูแลตำหนักในวันข้างหน้า จะพลิกหน้ามือเป็นหลังมือจนลืมสิ้นแม้แต่ ชายารองผู้นี้
เพียงแค่ทำให้คังวี่จิ้นกลายเป็นคนไร้ความสามารถ ไม่เอาไหน ถึงตอนนั้นอ๋องคังก็คงจะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ตำหนักใหญ่ก็ยังไม่ปล่อยให้ชายารองเป็นผู้จัดการแต่อย่างใด คังวี่จิ่นไม่เข้าใจอะไรเลย
ดังนั้นชายารองติงจึงเริ่มคิดที่จะให้คนที่อยู่ ข้างกายของคังวี่จิ่นไปเป็นผู้นำเขา ให้คนที่อยู่ข้างกายเขาฉุดดึงเขาไว้ ไม่ให้เขาไปเรียน เอาแต่พาเขาออกไปทะเลาะเบาะแว้งด้าน นอกทุกวัน
เด็กที่อายุยังน้อยย่อมมีนิสัยรักเล่นรักสนุก อยู่แล้ว
คนที่อยู่ข้างกายก็คอยส่งเสริมเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ก็คงจะพอเดากันได้ว่าเขาจะกลายเป็นคน เช่นไร
เรื่องความดื้อของคังวี่จิ่นไม่ต้องพูดถึง ไร้สาระไปวันๆก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง จนกระทั่งอายุ 10 พรรษาก็ให้คนพาเขาเข้าไปในซ่อง
นานวันเข้า เมื่อรู้ว่าคังวี่จิ่นผู้ที่รักการดื่มรักสนุก กลายเป็นลูกผู้ดีสูงศักดิ์คนแรกที่มีชื่อเสียง เรียงนามที่สุดในเมืองหลวง
ในแรกเริ่มเดิมทีเจ้าของร่างผู้ที่ไม่รู้ ไม่สนตัวเอง เมื่อนางข้ามผ่านเวลามาในเวลานี้ กลับให้นางไปสนใจคังวี่จิ่น
บอกว่าคังวี่จิ่นเป็นพี่ชายที่สนิทของนาง ไม่อยากเห็นเขากลายเป็นคนเสียอนาคตไป ตลอดชีวิต
เอาชีวิตไปทิ้งไว้บนเรือนร่างของหญิงสาวไป ตลอดชีวิต.
พูดจริง ๆก็คือ
ความต้องการของเจ้าของร่างก็คือเรื่อง เดียวกัน อีกด้านหนึ่ง คังเสว่มี่ก็โกรธแค้นตัวเองมากเช่นเดียวกัน
เดิมทีนางเองก็มีพี่ชาย หารู้ว่าพี่ชายของตัวเองถูกคนเลี้ยงดูให้กลาย เป็นคนไร้อนาคต หากเป็นนาง ก็คงจะอดทนที่จะไปจัดการคนผู้นั้นไม่ได้เช่น เดียวกัน
ในขณะที่คิดถึงเรื่องนี้ ในที่สุดก็มาถึงด้านหน้าของประตูอันหรูหราห้องหนึ่ง ซึ่งมีป้ายขนาดใหญ่แขวนอยู่บนประตูคู่ไม้สี แดง ซึ่งเขียนด้วยคำ 3 คำจากบนลงล่างว่า - ห้องยิ่งเยว่
ดูจากขนาดแล้ว น่าจะเป็นห้องใหญ่ vip เหมาะสมกับคังวี่จิ่นผู้เป็นลูกค้ารายใหญ่มา อย่างยาวนานที่นี่
คังเสว่มี่ได้ทำการสำรวจมาแล้ว คังวี่จิ่นไม่ได้กลับตำหนักเลยเป็นเวลา 3 วัน เอาแต่อยู่ในคอกสุนัขของตัวเองทุกวันนางมองไปทางประตูห้องจากนั้นก็ยื่นมือออกไปประตู จึงได้เปิดออกอย่างไร้เสียงใดๆภายในห้องมีขนาดใหญ่ดั่งที่คาดการณ์ไว้ เหมือนกับห้องประชุมขนาดเล็กห้องหนึ่ง บนโต๊ะขนาดใหญ่มีอาหารอันโอชะวางอยู่ หลากหลาย ผลไม้นานาชนิด เหยือกไวน์ชั้นดี 1 เหยือก เหล้าแอลกอฮอร์ที่เรี่ยราดอยู่บนโต๊ะสีแดงก็ หยดลงบนพรหมอันสวยงามหรูหราควันในกระถางธูปก็ลอยคละคลุ้งจางๆอยู่ห้องสีกุหลาบแดงที่ผสมผสานกับสีทองเต็ม ไปด้วยความสำมะเลเทเมาอย่างฟุ่มเฟือย ภายในอากาศผ้าโปร่งเคลื่อนไหวอ่อนไปตามแรงลม จากนั้นก็กวาดสายตาไปมองทางฉากกั้น ขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง เบื้องหลังฉากกั้นแปดบานขนาดใหญ่ที่ สามารถมองทะลุได้ราวกับก้อนเมฆนี้ ทำให้เห็นเงาคนที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่เลือนราง
copy right hot novel pub