นอกจากรูปลักษณ์ที่โน้มน้าวไปทางผอมเล็ก น้อยของเขาแล้ว
ประสาทสัมผัสทั้งห้ายังคล้ายคลึงกับอ๋องคังมากอีกด้วย
อัตลักษณ์ทั้งห้าของสองพี่น้องที่แตกต่างกัน สิ่งที่เหมือนกันมีเพียงอย่างเดียวก็คือผิวกายที่ขาวเหมือนกัน พี่น้องคู่นี้น่าจะเหมือนกับมารดาที่เป็นพระชายาคนหนึ่ง แล้วก็เหมือนกับอ๋องคังคนหนึ่ง
นางข้ามเวลามาที่นี่ได้ไม่นาน หลังจากไป๋หลี่รุ่ยและจี้อี้ แล้วก็ยังมีเขาที่นับว่าเป็นชายรูปงามอีกคนหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าชีวิตที่ตายแล้วเกิดใหม่ของนางจะมีหนุ่มๆรูปงามรายล้มมากมายเช่นนี้
“เจ้าไม่ได้เป็นใบ้ เช่นนั้นทำไมก่อนหน้านั้นเจ้าถึงไม่พูดกัน?” คังวี่จิ่นมองไปทางฟันที่คล่องแคล่วและ ดวงตาที่มีชีวิตชีวาของน้องสาว ใบหน้าที่สวยสดงดงามของนาง ที่แสดงออกถึงความโง่เขลาตลอดเวลาในก่อนนี้ ดวงตาที่กระพริบอย่างสว่างสดใส
น้องสาวในความทรงจำของเขา นางมีขนคิ้วที่สวยสดงดงาม แต่ไม่เคยแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
ไม่ชอบพูด และไม่ชอบเจอผู้คน เมื่อเห็นพี่ชายคนนี้ จึงได้แสดงท่าทางเมินเฉยออกมาอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้นก็เคลิบเคลิ้มอยู่ในโลกที่ดูมีชีวิต ชีวาของนางเองเพียงผู้เดียว
ที่ผ่านมาเขาที่อยากจะพูดเพียงประโยคสองประโยคกับน้องสาวสักครั้ง แต่มองเห็นใบหน้าที่ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ และดวงตาที่ไม่ไหวติงเขาก็หดหู่ขึ้นมา
แต่เวลานี้เมื่อเขาเห็นน้องสาวที่ดูเหมือนกับคนปกติแล้ว ในใจของเขาก็ดูเหมือนจะรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา
“ข้าก็เป็นเช่นนี้ ถ้าข้าไม่อยากพูดข้าก็จะไม่พูด แต่ว่าตอนนี้ข้าอยากจะพูดแล้ว และที่จะพูดก็คือ เจ้าวิ่งร่ามาที่นี่ อยู่ที่นี่เป็นเวลาสี่ปี มีอะไรที่น่าสนุกอย่างนั้นหรือ? ตั้งใจจะมอบทั้งชีวิตนี้ของเจ้าอยู่แต่บนเรือนร่างของแม่นางเหล่านี้เลยหรืออย่างไร?"
เมื่อคังเสว่มี่ที่พูดจบ ก็ไอออกมานางรู้สึกว่านางนั้นคอแห้งขึ้นมาแล้ว
ก่อนจะส่งเสียงไอออกมาอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ยืนขึ้น แล้วเดินอ้อมไปอยู่อีกด้านหนึ่งของฉากกั้น พลิกของที่วางอยู่บนโต๊ะไปมา
“ในเมื่อพูดได้ ก็สนใจแต่เรื่องของตัวเองเถอะ ไม่ต้องมาสนอะไรข้า” คังวี่จิ่นเดินอ้อมมา ดวงตามาหยุดลงตรงริมฝีปากที่กำลังเปิดอ้าของนาง
เขาขมวดคิ้วจ้องมองนางด้วยความตื่นตกใจและใช้ดวงตาศึกษาพิจารณาอย่างละเอียด
ดูเหมือนคังเสว่มี่จะได้เห็นการกระทำของเขานางรู้ว่าคังวี่จิ่นกำลังมองอะไร ใครก็ตามที่เคยเห็นคนที่ไม่ค่อยชอบพูดมากว่าสิบปีจู่ๆนางจะ พูดปร๋อเช่นนี้ ย่อมต้องครุ่นคิดไตร่ตรองไปสักพักเป็นธรรมดา
คังวี่จิ่นจ้องเขม็งสักครู่ แต่กลับมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ สายตาที่มองไปทางกาน้ำชาของนาง แล้วเบะปากเล็กน้อย:
"อย่าเปิดเลย ที่นี่ไม่มีชาหรอก
หากคอแห้งก็ดื่มได้แค่เหล้า เจ้าต้องการดื่มชา ก็กลับไปซะ อย่ามาวุ่นวายที่นี่อีก”
คังเสว่มี่เอียงคอมองไปทางเขาแวบหนึ่ง นัยน์ตาปรากฏรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็โก่งคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า “ทำไมเจ้าถึงได้รู้ว่าข้ากำลังหาน้ำชา?”
คังวี่จิ่นขยับปากเล็กน้อย เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ถึงอย่างไรเมื่อเห็นคังเสว่มี่พลิกของไปมา เขาก็รู้ได้ในทันทีว่านางกำลังหาอะไร
นี่น่าจะเป็นความรู้สึกทางด้านจิตวิญญาณของฝาแฝด หนึ่งคนในนี้คิดหรือเกิดเรื่องอะไรขึ้น อีกคนก็จะสัมผัสรับรู้ได้เสมอ
คังเสว่มี่เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่ใสสะอาดมองไปทางคังวี่จิ่นด้วยสายตาที่ตักเตือน
พี่ชายฝาแฝดผู้นี้ น่าจะไม่ได้สัมผัสรับรู้ถึงในสมองของนางหรอกนะ ถ้าไม่อย่างนั้น คงไม่พูดเช่นนี้ เช่นนี้นางจึงจะได้วางใจ ในเมื่อไม่มีน้ำ ดื่มเหล้าสักหน่อย ให้คอโล่งลงหน่อยก็ได้
เหยือกเหล้าสองสามเหยือกที่อยู่บนโต๊ะ คังเสว่มี่เลือกแบบคอขวดสีเขียวใสขึ้นมา ขวดหนึ่งจากนั้นก็เทใส่แก้วใบหนึ่งตามอำเภอใจ
เมื่อเหล้าออกจากขวด กลิ่นเหล้าก็ลอยขึ้นมาแตะจมูกทันที ภายในห้องก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมอย่างเข้มข้นตลบอบอวลไปทั่ว เหล้าที่อยู่ในขวดเหล้า ก็เข้มข้นมาก
ไม่ต้องไปสนใจกลิ่นหรอก เสพสุขกับมันก็พอ เมื่อเหล้าร้อนวิ่งผ่านลำคอลงไป“เหล้าชั้นดีจริงๆ!"เมื่อสรรเสริญไปคำหนึ่งแล้ว คังเสว่มี่อดใจที่จะยกซดอีกไม่ได้ รสหวานอันเข้มข้นเต็มปาก ไม่แสบจมูก แล้วก็ไม่ได้ชำละลำคอแต่อย่างใด หลังจากที่ดื่มลงคอแล้วก็ไม่รู้สึกกระหาย อย่างน่าอัศจรรย์ใจ มันเป็นรสชาติเหมือนกับไวน์ผลไม้ที่มีข้าวเหนียว ปะปนอยู่กับเหล้าอย่างไรอย่างนั้นดวงตาภายในฉายแววยินดีปรีดาออกมา นึกไม่ถึงว่า ในซ่องยังมีเหล้ารสโอชะเช่นนี้อยู่คังเสว่มี่จึงคิดอยากจะดื่มอีกสักหน่อย
copy right hot novel pub