ถอนรากต้องเอาให้ถึงโคน ตัดจิตคำนึงหาของเขาได้ถึงจะเป็นความจริง
ดวงตาของคงเสว่มี่กวาดไปในความมืดมิด จากนั้นก็โยนขาของคังวี่จิ่นลง มือขวาค่อยๆล้วงเข้าไปในอกอย่างช้าๆ ดวงตาหงส์ของนางค่อยๆหรี่ลง
ฉับพลันก็เบิกโพลงขึ้นใบหน้าที่ขาวเนียนดุจอัญมณีของนาง ปรากฏสีหน้าลำบากใจออกมาเล็กน้อย และยังแฝงไปด้วยความไร้เยื่อใย จากนั้นก็กัดฟันพลางพูดขึ้นว่า
“คังวี่จิ่น เพื่อไม่ให้เจ้ามายังร้านอาหารจุ้ยเซียนอีกใน วันข้างหน้า เพื่อเป็นการไม่ทรยศต่อความหวังของข้า ข้ารู้ถึงแม้ว่าวิธีการนี้จะทำให้เจ้าเจ็บปวดใจ และเจ็บปวดใจมาก
และถึงแม้ว่าบางทีนั้น ข้าเองก็ยังรู้สึกลำบากใจมากที่ทำเช่นนี้ก็ตาม
แต่วันนี้ข้าต้องแก้ไขปัญหาที่หยั่งรากลึกนี้ให้จงได้!”
สายตามุ่งมั่นราวกับหมาป่าของนาง ได้ข่มขู่คังวี่จิ่นจนคลานถอยร่นไปด้านหลังก้าวหนึ่ง
พร้อมกับใช้สายตาจ้องเขม็งไปทางมือที่ที่ สอดอยู่ในอ้อมแขนของคังเสวี่มี่
“เจ้า น้องสาว น้องสาว.....อย่าใจร้อนไปเลยนะ ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าใจร้อนเลย หากเจ้าทำเช่นนี้จะต้องไปขออภัยโทษต่อท่านพ่อ อภัยโทษต่อบรรพบุรุษของตระกูลทั้งหมดอีกนะ! "
คังเสว่มี่กวาดสายตาไปมองยังขาที่หนีบเอาไว้แน่นของเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดจาเยาะเย้ยออกมาว่า “เอาแต่อยู่ในร้านอาหารจุ้ยเซียนทุกวัน จนถึงตอนนี้เจ้าก็ยังมัวคิดถึงเรื่องอะไรเหล่านี้อยู่อีกหรือ? !
"คังวี่จิ่นอึ้งงันไป “แล้วเช่นนั้นเจ้ากำลังจะล้วงอะไรออกมา ไม่ใช่มีดหรอกใช่ไหม?” นางคงไม่ใช่จะสังหารชีวิตของเขาใช่ไหม?
“ใครจะไปถือมีดมา” คังเสว่มี่เยาะเย้ยออกมาเบาๆ จากนั้นก็ลูบไปบนป้ายหยกในอ้อมแขน “ข้าต้องไปหาเถ้าแก่ของร้านอาหารจุ้ยเซียน ให้เขาห้ามไม่ให้เจ้าเข้าใช้บริการที่ร้านของเขาอีกต่อจากนี้
ป้ายหยกนี้ที่นางหลอกลวงมาจากในมือของไป๋หลี่ รุ่ยชิ้นนี้ มีมูลค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
การเปิดร้านอาหารจุ้ยเซียน ย่อมต้องทำธุรกิจค้าขายหวังกำไรอย่างแน่นอน ทําค้าขายก็เพื่อหาเงินมิใช่หรือ
หากนำป้ายหยกให้แก่เถ้าแก่ของร้านอาหาร จุ้ยเซียนแล้วแลกกับการที่
เขาจะไม่ต้อนรับคังวี่จิ่นหลังจากนี้อีกต่อไป นางตั้งใจจะต้องช่วยความปรารถนานี้ของเจ้าขางร่างให้สำเร็จ
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว คังเสวมี่มองไปทางคังวี่จิ่นที่ตกอยู่ในอาการอึ้งงัน
“เจ้ารู้ว่าห้องของเถ้าแก่ร้านอาหารจุ้ยเซียน อยู่ห้องไหนใช่ไหม?”
“ห้องฝั่งนั้นที่ไม่มีป้ายชื่อที่อยู่ด้านใน สุด...….….…..” คังวี่จิ่นชี้ไปทางด้านซ้าย หลังจากที่เงาของคังเสว่มี่ลับหายไปจากตรงหน้า จึงได้มองนิ้วมือของตัวเองอย่างอึ้งๆ
แล้วทำไมเขาต้องชี้ทางให้นางด้วยเล่า!
หลังจากที่มองไปทางห้องๆหนึ่ง คังเสว่มี่ก็ไปหาห้องที่อยู่ด้านซ้ายไปตลอดจนทาง แต่ก็ไม่มีบล็อกไหนที่ไม่มีป้ายชื่อติดไว้สัก ห้องเดียว
นางครุ่นคิดอยู่สักพัก บางทีคังวี่จิ่นก็อาจจะชี้ไปด้วยอาการวิงเวียนก็เป็นได้ เช่นนั้นแล้วทางขวาเล่า? นางจึงได้เปลี่ยนความคิด ไม่นานก็เจอห้องที่ไม่มีป้ายชื่อ ที่อยู่ด้านในสุดห้องหนึ่ง
นางเองก็รู้ว่าเจ้าคังวี่จิ่นผู้นั้นไว้ใจไม่ได้ และเขาก็ยังแยกแยะซ้ายขวาได้ไม่ชัดเจนอีกด้วย
คังเสว่มี่จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นก็ยื่นมือออกไปเคาะประตู “ขอถามหน่อย มีคนอยู่ไหม?"
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆออกมานางจึงยกมือขึ้นเคาะอีกครั้ง “ขอถามหน่อย มีคนอยู่ไหม?"
ก็ยังไม่มีเสียงดังมาจากด้านใน แต่ครั้งนี้ นางกลับกระชากประตูเปิดออกด้วยตัวเอง
คนของร้านอาหารจุ้นเซียน ไม่ชินกับการลงกลอนอย่างนั้นหรือ? ผ่อนคลายเกินไปหรือไม่
คังเสว่มี่ยื่นหน้าเข้าไปข้างในจากตรงซอกประตู
จากนั้นก็เห็นเพียงแค่ชายกระโปรงสีแดงที่ พาดอยู่บนหัวม้านั่งตัวหนึ่ง ดูท่าน่าจะมีคนอยู่ข้างใน เช่นนั้นก็ดีสิ
คิดได้ดังนั้นนางจึงออกแรงผลักประตูเข้าไป ทางเข้าออกเป็นระเบียงทางเดินสีไม้ไผ่ดูเหมือนว่าห้องนี้จะดูหรูหรามากกว่าห้องยิ่งเยว่ของคังวี่จิ่นมีความสง่างามบางๆอยู่ในความหรูหรานี้ และไม่ใช่แค่เพียงเครื่องใช้ เครื่องประดับห้องที่ดูหรูหราราคาแพงเท่านั้น แต่ยังประดับตกแต่งด้วยภาพวาดของเม่ยหลานแทรกไปมาอยู่ระหว่างห้องอีกด้วย ดูดีสง่างามมีระดับเลยทีเดียวนอกจากนี้ก็ยังมีกลิ่นหอมจางๆราวกับดอกซากุระลอยตลบอบอวลอยู่ในอากาศ มันช่างหอมหวานแต่ไม่หวานเลี่ยนแต่อย่างใดเมื่อผ่านระเบียงทางเดินไป ทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าก็ขยายขึ้น ที่ว่างก็กว้างมากขึ้น แต่ระหว่างห้อง กลับมีแม่นางที่สวมใส่ชุดสีแดงสูงยาวกำลัง นั่งก้มหน้าอยู่คล้ายๆว่านางนั้นกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่“สวัสดี ขอถามหน่อย เจ้าเป็นเถ้าแก่ของร้านอาหารจุ้ยเซียนใช่หรือไม่?”
copy right hot novel pub