คิดไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง อาชีก็พลันพูดขึ้น“จี้ซื่อจื่อ ไม่ลองแบบนี้ดู ลองเอานิ้วแกะมือของนางออกมาดูมั้ย? "
จี้อี้นั่งอยู่บนเตียงแล้วเอาแขนเสื้อพาดไว้ที่ขา ไข่มุกสีดำที่ปักอยู่ที่รองเท้าของเขาก็พลันสะท้อนแสงขึ้นมา
เขาส่ายหน้าไปมา “การจับของนาง มิใช่การจับธรรมดาเช่นทั่วไป แต่เป็นการจับคล้ายคนมีพลังลมปราณ แข็งแรงจนไม่สามารถโต้ตอบได้
ถ้าหากว่าใช้แรงดึงออกมา ก็อาจจะทำให้ข้อมือของนางได้รับบาดเจ็บได้หรือไม่ก็อาจจะเป็นชีพจรของข้าที่ขาดสะบั้นลง คิดดูแล้วต่างมีแต่ผลเสียทั้งคู่
ไม่สู้ให้ข้าอยู่ที่นี่กับนางคืนนี้ พอนางตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างก็สามารถแก้ไขได้แล้วหล่ะ"
อาชีรีบพูดปฏิเสธทันที“จะให้จี้ซื่อจื่อมาอยู่แบบนี้ได้ อย่างไรกันเล่า"
แล้วเขาก็หันไปมองคังเสว่มี่ที่นอนหลับ อย่างไม่ได้สติ "เช่นนั้นก็ปลุกให้คุณหนูตื่นขึ้นมา จะไม่ดีกว่าหรือขอรับ "
จี้อี้ยกมือข้างซ้ายขึ้นมาโบกไปพลาง แล้วอมยิ้ม
“คุณหนูคังไม่ใช่สลบไป แต่เป็นเพราะความเมา
คุณหนูคังดื่มเหล้าพันวันเข้าไป เหล้าชนิดนี้ถ้าดมดูแล้วจะหอมหวานมาก แต่มีฤทธิ์รุนแรงมากเช่นกัน
ถ้าหากว่านางไม่ได้ตื่นขึ้นมาตามปกติ แต่เป็นการปลุกนางเพื่อให้นางตื่นแล้วหล่ะก็ นางจะปวดหัวเป็นเดือนเลยทีเดียวฤทธิ์เหล้าถึงจะหายไป"
เหล้าพันวัน?
ไม่ใช่ว่าเป็นเหล้าของร้านอาหารจุ้ยเซียนที่เดียวที่มี เหล้าแบบนี้อยู่หรอกหรือ?
อาชีขมวดคิ้วแน่น แล้วก็แสดงสีหน้าลังเลออกมาอย่างเห็นได้ชัดพลันพูด ขึ้น “ถ้าอย่างนั้นควรทำอย่างไรถึงจะดีที่สุด...."
จี้อี้ชี้ไปที่ข้อมือที่ถูกกักไว้แล้วพูดขึ้น “ข้าว่าอย่าทำ อะไรรุนแรงเลย สองสามวันนี้ข้าก็ไม่มีเรื่องอะไร ก็ถือซะว่าอยู่ที่นี่กับนางคอยดูแลนางก็ได้แล้ว"
อาชีหันไปมองคังเสว่มี่ที่นอนหลับอย่างสบายใจแล้วพลันหันไปมองหน้าจี้อี้
ยังไงเขาก็ไม่สามารถที่จะใช้แรงดึงข้อมือของจี้ซื่อจื่อออกมาได้
ถ้าบอกว่าเขาไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้ ถ้าเข้าไปใกล้แล้วเกิดทำร้ายเขาขึ้นมาก็อาจกลายเป็น เรื่องใหญ่โตได้
ส่วนคุณหนูใหญ่ เขาเองก็ไม่อาจจะเรียกนางให้ตื่นได้ เพราะเขาก็เคยได้ยินชื่อของเหล้าพันวันมาก่อน ถ้าปลุกนางตื่นมาแล้วต้องปวดหัวเป็นเดือน นั่นมันก็ทรมานมากเลย
เขาคิดแล้วคิดอีก แล้วจึงหันมาทำความเคารพจี้อี้ “งั้นก็ต้องลำบากจี้ซื่อจื่อแล้วขอรับ ข้าน้อยจะสั่งคนให้เฝ้าดูแลอยู่ด้านนอกถ้าหากว่าท่านต้องการความช่วยเหลืออะไร ก็แค่รับสั่งได้เลย"
“อืม " จี้อี้ ขานรับ "อีกอย่าง ข้าอยากให้อาชีไปบอกฉวี่ซางด้วย บอกให้เขากลับไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ข้าจะกลับไปตำหนักเอง"
"ขอรับ ข้าน้อยจะไปบอกท่านจวู่ให้อย่างแน่นอน" อาชีถอย ออกไปสามก้าว แล้วจึงเดินออกไปจากห้อง พลันปิดประตู แต่กลับไม่เอากุญแจไปด้วย
หลังจากนั้นก็หันไปกำชับสาวใช้ที่อยู่ภายในตำหนัก ให้พวกนางดูแลพวกเขาให้ดี และห้ามคิดอะไรเพ้อเจ้อ แล้วถึงได้เอาคำพูดของจื้อี้ไปพูดกับฉวี่ซางที่รออยู่ด้าน นอกตำหนัก
วันนี้ฉวี่ซางเจอแต่เรื่องที่ทำให้ประหลาดใจทั้งวันเลย พอถึงวันนี้และได้ยินรับสั่งแบบนี้อีก ก็ยิ่งทำให้ตะลึงขึ้นไปอีก หลังจากที่อึ้งไปครู่นึงก็พลันหันไปกล่าวลากับอาชี
พอส่งฉวี่ซางกลับไปแล้วเรียบร้อย อาชีถึงได้ตรงดิ่งไปที่เรือนของอ๋องคัง และพอดีกับเห็นอ๋องคังที่สวมชุดเต็มยศเดินออกมาจาก เรือนพอดี
“ท่านอ๋อง “อาชีโค้งตัวทำความเคารพ
“อาชี เมื่อสักครู่มีคนมารายงานว่าเสว่มี่เป็นลมหมดสติไปมันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้นหรือ?"
อ๋องคังพูดออกมาด้วย น้ำเสียงกังวลใจ แล้วก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเพราะความเป็นห่วง
พออาชีเห็นท่าทางกังวลใจของอ๋องคังแบบนั้น ก็พลันขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “ทูลท่านอ๋อง คุณหนูใหญ่ไม่ได้เป็นลมขอรับ แต่เป็นเพราะฤทธิ์ของเหล้าก็เลยสลบไป"
“ดื่มเหล้า? แล้วเมางั้นหรือ? “อ๋องคังเหมือนกับว่าตัวเองได้ยินอะไรผิดไป และยิ่งทำให้รู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีก
“ขอรับ ท่านอ๋อง"
"งั้นรีบพาข้าไปดูเดี๋ยวนี้ ทำไมนางอยู่ดีๆถึงออกไปดื่มเหล้าได้ แถมยังเมาอีก! "
อ๋องคังเอามือขัดไว้ด้านหลัง แล้วก็เดินหน้าออกไปจากเรือนทันที
อาชีที่อยู่ด้านหลังจึงเรียกเขาเอาไว้“ท่านอ๋อง ตอนนี้จี้ซื่อจื่ออยู่ในห้องกับคุณหนูนะขอรับ"
อ๋องคังหยุดเดินทันที แล้วหันกลับมามองอาชี แล้วพลันหันกลับมา แล้วก็แสดงสีหน้าตกใจ
“จี้ซื่อจื่อไม่ใช่เป็นคนเอานางมาส่งหรอกหรือ? แต่ทำไมถึงยังอยู่ในห้องกับเสว่มี่อีก ล่ะ? "
อาชีเดินเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว แล้วก็พลันขยับเข้าไปใกล้อ๋องคังแล้วก็เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดตั้งแต่หน้าประตูให้เขาฟังทั้งหมด สีหน้าของอ๋องคังก็พลันเปลี่ยนไปทันที สายตาก็พลันแสดงความตกตะลึง สงสัย และอึ้งมีทุกอารมณ์
พอฟังเรื่องราวทุกอย่างแล้ว สีหน้าของอ๋องคังก็นิ่งไป แล้วก็พลันดึงสติกลับมา ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็หันมาพูดกับอาชี
“ในเมื่อจี้ซื่อจื่อ เข้ามาอยู่ในตำหนักเรา เจ้าก็บอกให้คนในเรือนครัวจัดเตรียมสำรับอาหารเอา ไว้ให้เขาด้วย อย่าให้เขาได้ขาดตกบกพร่องอะไร"
" ขอรับ "อาชีน้อมรับคำสั่ง แต่กลับไม่รีบออกไปจัดการ ดันยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนกับต้องการจะพูดอะไรบาง อย่าง
“อาชีเจ้ายังมีเรื่องอะไรที่อยากจะพูดมั้ย?" อ๋องคังมองเขาครั้ง หนึ่งแล้วพูดขึ้น
อาชีพยักหน้า สายตาก็แสดงความกังวลออกมา แล้วก็พูดสิ่งที่ติดอยู่ในใจออกมา
“ท่านอ๋อง วันนี้ตอนที่จี้ซื่อจื่อมาส่งคุณหนูใหญ่ แล้วยิ่งมาค้างเรือน เกรงว่าจะมิอาจปิดบังไว้ได้แล้ว ถ้าหากว่าทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ขึ้นมา พอถึงตอนนั้นมันมีคนที่เข้าใจนางผิดอย่างแน่นอน”
ได้ยินแบบนั้น อ๋องคังก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วก็พลันนึกถึงท่าทางที่องค์รัชทายาทมีต่อลูกสาวของตัวเอง ก็ไม่ได้พูดไม่ได้ถามอะไรเลย
นอกจากฮ่องเต้องค์ก่อนที่ให้คำมั่นสัญญาในตอนนั้น พอถึงคนในรัชสมัยนี้ จะมีคนไหนกันที่จะแต่งนางไปเป็นชายาที่น่ายกย่องได้ จริงๆกันละ
ผ่านไปสักพักอ๋องคังก็พลันโบกมือแล้วพูดขึ้น “องค์รัชทายาทจะคิดยังไงก็ช่าง มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา คิดไปคิดมา
ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว เขาก็ยังไม่พูดอะไรกับนางด้วยซ้ำ พอถึงปีนี้เสว่มี่ก็อายุสิบสี่ปีเต็มแล้ว ก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะพูดเรื่องการแต่งงานของพวกเขา สองคนเลย
พวกเขาไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องร้อนใจ”
เมื่อก่อนเขาก็เอาแต่ลืมตาอ้าปากมองอย่างเดียวเพราะ
ให้เกียรติชายารองติง และเขาเองก็ไม่อยากไปยุ่งกับเรื่องราวของคนในวังหลัง
นานๆทีเห็นเสวีมี่ กินดี สวมเสื้อหนาๆ อยู่ในที่ที่ดี ก็ดีมากแล้ว
และยิ่งมีแค่สองคนพ่อลูกก็ยิ่งไม่ได้ไปเจอกับใคร ไม่ได้คุยกับใคร
ถ้ายิ่งนานวันเข้าก็จะยิ่งแต่งงานยากแล้ว
ถ้านางได้แต่งกับรัชทายาท
ก็ยังเป็นไปตามคำมั่นสัญญาของฮ่องเต้องค์ก่อนที่เคยพูดไว้ ก็ถือว่ายังมีข้อดีอยู่บ้าง
พอถึงวันนี้ก็พบว่า เรื่องทั้งหมดไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคิดเอาไว้เลย และวิธีก็ไม่เหมือนกันเลยเมื่อก่อนอาชี ก็เคยคิดถึงเรื่องนี้ พอได้ยินอ๋องคังพูดออกมาแบบนี้แล้ว ก็ไม่สนใจอะไรแล้ว ในสายตาของเขา จี้ซื่อจื่อดีกว่ารัชทายาทเยอะมากถ้าหากว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรผิดพลาด คาดว่าองค์รัชทายาทจะได้ขึ้นครองราชอย่างแน่นอน และก็ยิ่งทำให้คิดถึงนิสัยของหญิงสาวมากมาย ก็ไม่แน่ว่าจะเหมาะสมกับตำแหน่งในวังหลังที่เอาแต่นั่งนิ่งๆน่าเบื่อไปวันๆแบบนั้นเขายกมือขึ้นมาน้อมรับคําสั่ง “ขอรับ ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยก็จะไปสั่งคนให้ไปจัดเตรียมสำรับ อาหารทันทีขอรับ”“ดี”อ๋องคังพยักหน้าแล้วพลันหันตัวจะเดินกลับไปที่ห้องหนังสืออยู่ดีๆก็มีพ่อบ้านน้อยวิ่งเข้ามาอย่างหน้าตาตกใจ จนลืมที่จะทําความเคารพ พลันวิ่งเข้ามาอย่างเหนื่อยหอบ พอหลังจากที่เห็นอ๋องคัง สีหน้าเขาก็ดูซีดขาวทันที พลันพูดออกมาน้ำเสียงกระตุกกระตัก“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง ใต้เท้าถันจากกรมการปกครองกำลังรอท่านอยู่ที่ หน้าตำหนักขอรับ บอก บอกว่าต้องการจะตกลงบางอย่างกับท่านขอรับ!""ใต้เท้าถันอย่างนั้นหรือ?" พวกเขาสองคนไม่มีเรื่องที่ต้องไป มาหาสู่กันเลย อ๋องคังจึงขมวดคิ้วแน่น พลันพูดขึ้นเสียงแข็ง“พวกเขามาเพื่อตกลงเรื่อง อะไร? ”พ่อบ้านน้อยหายใจเข้าทีนึง แล้วถึงได้พูดขึ้น: “ได้ยินว่า ได้ยินมาว่าซื่อจื่อได้ทำร้ายคุณชายถันจนหัวแตก ขอรับ! "“สารเลว! มีเรื่องได้ไม่เว้นแต่ละวันจริงๆ! จนวันนี้ไป ทําร้ายคนอื่นจนเขามาเอาเรื่องถึงใน นําหนัก!"
copy right hot novel pub