เมื่อนางเป็นเช่นนี้จึงไม่สามารถทำให้จี้อี้ค้นพบว่านางไม่รู้เรื่องกำลังภายในของตัวเองตั้งแต่ไหนแต่ไรมาได้
ในขณะที่เรื่องราวต่างๆกำลังวนเวียนอยู่ในสมองของคังเสว่มี่อย่างวกไปวนมาอยู่นั้น ไม่นานแววตาประหลาดใจและครุ่นคิดที่ฉายออกมา ทางสายตาของคังเสว่มี่ก็ได้มลายหายไป ใบหน้าอันขาวผุดผ่องก็แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้ายากที่จะเชื่อได้ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงไม่ปกติว่า
“ถึงแม้ว่าข้าจะมีกำลังภายในก็ตาม แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเจ้าแล้ว ข้าก็เป็นเพียงแม่นางบอบบางผู้หนึ่งเท่านั้น"
จี้อี้มองไปทางนางแวบหนึ่ง ก่อนที่สายตาจะหยุดลงในทันใด ดวงตาดุจหงส์ก็ได้ปรากฏหมอกจางๆออกมา ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็มลายหายไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดขึ้นว่า
“อื้ม ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่ตลอดทั้งคืนแล้ว และตอนนี้ข้าก็จะไม่อยู่แล้ว ในเมื่อเจ้าบอกว่าข้ามีศิลปะการต่อสู้สูง เช่นนั้นจะออกมาดูหน่อยไหมหล่ะข้าจะแสดงให้ดู?”
ดวงตาของคังเสว่มี่เปล่งประกายออกมาในทันที จากนั้นก็จ้องมองไปทางจี้อี้ด้วยแววตาที่สุกสกาว ราวกับน้ำที่แวววาวสุกใส
นางกําลังคิดว่า ไม่ว่ากําลังภายในนี้จะมีได้อย่างไรก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญก็คือนางมีกำลังภายใน โดยที่ไม่รู้ว่าจะใช้ได้อย่างไร ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
เหมือนกับในมือถือปืน แต่กลับไม่รู้ว่าจะยิงป้องกันได้อย่างไร
ในเมื่อจี้อี้จะ “สอนนางด้วยตัวเอง” เช่นนี้ ทำไมนางจะไม่ดูล่ะ แอบเรียนไปทีละนิดๆก็ได้
ดวงตาดุจหงส์ของจื้อี้ตกลงเล็กน้อย เมื่อมองไปทางใบหน้าเล็ก ๆที่ส่องประกายแวววาวของคังเสว่มี่ ดวงตาดุจหยกทั้งสองข้างของนางในเวลานี้ก็ได้เปล่งประกายความ ฉลาดที่ซ่อนความเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวออกมา ช่างน่าดึงดูดมากกว่าอัญมณีแพรวพราวเสียอีก
เมื่อถูกแสงนั้นแยงเข้าตา จี้อี้ก็กระพริบตาเล็กน้อย เพื่อกำจัดแสงดวงดาวที่สว่างเจิดจ้านั้น จากนั้นก็ยืนขึ้นอย่างเงียบๆ จัดแจงรอยยับบนเสื้อผ้าเบาๆ แล้วเดินออกจากตำหนักไป
เมื่อคิดว่าตนนั้นจะแอบเรียนศิลปะการต่อสู้ได้ คังเสว่มี่ก็ค่อยๆไถลก้นลงมาจากเตียงทีละนิดๆ จากนั้นก็กระโดดลงมาจากเตียงในที่สุด
แล้วตามออกนอกประตูไป โดยที่ไม่ได้สนใจเสื้อผ้า หรือผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงแต่อย่างใด
จี้อี้หยุดก้าวเท้าลง จากนั้นก็หันหน้าไปมองคอเสื้อที่ยังคงเปิดออกอยู่เล็กน้อย เผยให้เห็นไหปลาร้าอันงดงามทั้งสองข้างของนางนั้น
เขาก็ขมวดคิ้วขึ้น แววตาฉายแววสงสัย จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆและนุ่มนวลว่า
"จัดช่วยการเสื้อผ้าและผมของตนเองให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยออกมาได้หรือไม่"
คงเสว่มี่ก้มหน้าลงมอง ก่อนจะเบะปากเล็กน้อย คอเสื้อเปิดเช่นนี้แล้วยังไง ในยุคปัจจุบัน ผู้ที่สวมใส่เสื้อผ้าแบบนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนแก่อนุรักษ์ นิยมกันทั้งนั้น
นึกไม่ถึงว่าจี้อี้ก็จะเป็นคนอนุรักษ์นิยมเช่นนี้ด้วย หากเห็นนางสวมชุดว่ายน้ำ เขาไม่ฆ่านางทิ้งเลยหรือ
แต่เพื่อจะได้ดูศิลปะการต่อสู้ของเขา คังเสว่มี่จึงรีบไปยืนอยู่หน้ากระจกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตะโกนเรียกชวนหลันออกมาด้วยท่าทางเกียจคร้าน
จากนั้นก็หวีผมเล็กน้อย เกล้ามวยขึ้นสูงคล้ายช่อดอกไม้ตูม แล้วกลัดด้วยปิ่นเกล้ามวยให้แน่น
หลังจากนั้นก็ส่องกระจก นำกระดุมไข่มุกบนคอเสื้อเกี่ยวพันเข้ากับชุดทางด้าน ซ้าย จากนั้นก็หมุนตัววิ่งออกไป
“จี้....…..” เดิมทีคิดว่าจะตะโกนเรียก เขาว่า จี้อี้คนเจ้าเล่ห์
แต่เมื่อคังเสว่มี่มองเห็นเหล่าบ่าวรับใช้ในตำหนัก ที่กำลังแสดงท่าทางอยากรู้อยากเห็นมาทางนาง นางจึงได้ส่งเสียงไอออกมาเล็กน้อย แล้วแก้คำเป็นเรียกว่า “จี้อี้” แทน
จี้อี้ที่ได้ยินเสียงเรียก เขาก็หมุนกายกลับไป สายตาซุกซนของเขาก็หยุดลงบนทรงผมของนางในทันใด และก็มองไปทางคอเสื้ออีกครั้ง ก่อนจะดึงสายตาซุกซนลึกๆนั้นกลับมา แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเป็นสง่าดั่งเสียงกระดิ่งต้องลมว่า
“เจ้าอยากจะดูอะไร?”
คังเสว่มี่ขมวดคิ้ว ริมฝีปากเล็กขบเม้มเข้าหากัน
พร้อมกับฉายแววครุ่นคิดออกมาทางสายตา
นางไม่รู้ว่าตัวเองนั้นมีกำลังภายในด้วย แสดงว่า โลกใบนี้มีกำลังภายในและวิชาตัวเบาจริงๆสินะ
ตั้งแต่เล็กจนโตนางมีความสนใจในเรื่องของกังฟูจีนมาโดยตลอด นางรู้สึกว่ามันลึกซึ้งกว้างใหญ่ ดั่งมหาสมุทรที่ดิ่งลึกอย่างไรอย่างนั้น
ในช่วงเวลาที่ศิลปะการต่อสู้ไม่ได้รับช่วงสืบทอดกันมา สิ่งที่อยากเรียนมากที่สุดก็คือวิชาตัวเบา
วิชาตัวเบาเหาะเหินบนหลังคา ราวกับเหยียบย่ำไปบนพื้นที่ราบเรียบ เมื่อมองลงไปจากฟากฟ้า ก็จะสัมผัสรับรู้ได้ถึงความสบายเบา
“วิชาตัวเบา ข้าอยากเห็นวิชาตัวเบา"
คังเสว่มี่กล่าวพลางพยักหน้าอย่างมั่นใจ
จี้อี้หันกลับไปยิ้มให้กับนาง รอยยิ้มของเขาแพรวพราวเสน่ห์ดุจดั่งดอกลำโพงม่วงที่ทำให้ผู้คนที่พบเห็นต่างก็จ้องมองตาไม่กระพริบใจเต้นแรงจนเสียความเป็นตัวตน
จี้อี้ปลายตาขึ้นพร้อมกับเอื้อนเอ่ยน้ำเสียงอันไพเราะออกมา
“ดี..เช่นนั้นก็วิชาตัวเบา เจ้าจะได้เห็นมันเดี๋ยวนี้เลย”
เวลานี้คังเสว่มี่ให้ความสนใจกับอากัปกิริยาที่รวมเป็นหนึ่งไว้ของเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ นางมีความคาดหวังจะได้ดูวิชาตัวเบาที่นางเฝ้ารอคอยมาโดยตลอดจากเขา
เมื่อจี้อี้เห็นท่าทางที่ดูจริงจังของคังเสว่มี่แล้ว ดวงตาของเขาก็ฉายแววตาซุกซนขึ้นมาอีกในทันที มุมปากสีแดงสดก็ได้คลี่ยิ้มอย่างแพรวพราวดุจหยกออกมา
เขาเริ่มปรับสมดุลลมหายใจอย่างเงียบๆ ด้วยการกางแขนทั้งสองข้างออกอย่างช้า ๆ เขย่งปลายเท้าไปบนพื้นดินอย่างเบาๆ ราวกับว่าร่างกายกำลังยืนอยู่บนก้อนเมฆ จากนั้นก็ลอยตัวขึ้นไปบนอากาศ โดยไร้ซึ่งเสียงและกลิ่นใดๆ
“เยี่ยม!"
คังเสว่มี่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาวางบนหน้าผาก เพื่อบดบังแสงแดดที่สาดส่อง พร้อมทั้งหรี่ตาลง เพื่อมองไปทางร่างของจี้อี้ที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับก้อนเมฆสีม่วง เขาลอยข้ามตำหนักของนาง และลอยออกไปทางห้องที่อยู่ด้านข้าง โดยไม่ต้องออกแรงแต่อย่างใด......
ในชั่วพริบตาเดียวร่างสีม่วงของเขา ก็มลายหายไปจากขอบเขตการมองเห็นของนางแล้ว
เก่งจริงๆ ฝ่าฝืนแรงดึงดูด โค่นล้มกลศาสตร์ หากไม่ใช่เพราะเห็นมากับตาแล้วหล่ะก็ นางก็คงจะไม่มีทางกล้าเชื่ออย่างแน่นอน
ไม่ต้องนั่งเครื่องบิน ไม่ต้องใช้บอลลูน มนุษย์เราก็สามารถโผบินราวกับนกได้
เมื่อเห็นกับตาตัวเองเป็นครั้งแรก
ไม่มีฉากต่อสู้ในยุคสมัยใหม่ที่มนุษย์อย่างเราสามารถลอยตัวได้ คังเสว่มี่ได้ลิ้มลองอย่างเต็มที่เพียงแต่ช่วงเวลาครึ่งถ้วยชา เท่านั้น ..copy right hot novel pub