บ่าวรับใช้ในตำหนักเมื่อได้ยินคำพูดของชวนหลัน จึงวุ่นวายกันจารวัน ไม่นาน ก็ยกสํารับเช้าเข้ามา
ทันทีที่คังเสว่มี่เห็นเหล่ากับข้าวที่จัดวางอย่างประณีตทั้งแปดอย่างตรงหน้า มีทั้งของหวาน โจ๊กกลิ่นหอมอ่อนๆที่เหมือนกัน 3 ชาม คังเสว่มี่ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนยื่นหน้าเข้าไปดมกลิ่นอาหารตรงหน้า แล้วหันไปถามชวนหลันอีกครั้งว่า
“ชวนหลัน นี่เป็นสำรับเช้าของข้าเพียงผู้เดียวหรือ?”
ชวนหลันพยักหน้า “ใช่เพคะ นี่เป็นส่วนของคุณหนู หากไม่ชอบ สามารถให้คนในครัวทำใหม่ให้ได้นะเพคะ”
สิ้นเปลือง สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์!
คังเสว่มี่ทอดถอนใจออกมา จากนั้นก็ขมวดคิ้วพร้อมกับส่ายหน้า ก่อนจะพูดเบาๆกับตัวเองว่า
"ชีวิตในวังช่างหรูหราเสียจริงๆ นางคนเดียว ต้องมีอาหารเช้าให้เลือกมากมายถึงเพียงนี้ มิน่าเล่าทุกคนต่างก็พูดกันว่าเป็นข้าหลวงนั้นดีอย่างโน้น ดีอย่างนี้"
คังเสว่มี่ปลงอนิจจังต่อความลุ่มหลงในอำนาจวาสนา หากเปลี่ยนเป็นชวนหลันและผู้อื่นก็คงจะแปรเปลี่ยน เป็นอีกความหมายหนึ่งอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าจะเป็นอาหารเช้าก็ตาม แต่อย่างมากสุดก็ต้องมีกับข้าวสองอย่าง ของหวานสองอย่าง โจ๊กหนึ่งอย่าง เพราะในระยะเวลาก่อนหน้านี้นั้นคังเสว่มี่ไม่ใช่คุณหนูใหญ่ที่ถูกโปรดปรานมากมายเท่าไหร่นัก
ในช่วงเวลานั้นสำรับของนางที่เป็นส่วนของนางจึงไม่ได้มีมากมายเช่นนี้ เพราะเหล่าสาวใช้ได้แอบจิกไปเป็นของตัวเอง
พวกเขาคิดว่าถึงอย่างไรคุณหนูใหญ่ก็ไม่มีทางพูดออกมา
แต่หลังจากที่เห็นการแสดงออกที่ดูประหลาดไปในช่วงเวลานี้ของคังเสว่มี่ พวกเขาก็ได้ขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับว่าจะนึกถึงเรื่องเมื่อครั้งอดีตขึ้นมาได้ กลัวว่านางจะเริ่มจะคิดบัญชีกับพวกเขา!
ชวนหลันมองไปยังท่าทางการแสดงออกของคุณหนู ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งขุ่นเคือง หลายปีมานี้ คุณหนูถูกสาวใช้เหล่านี้รังแกมาโดยตลอด จึงได้จ้องเขม็งไปทางคนเหล่านี้ พร้อมกับกัดฟันกรอดแล้วพูดว่า
“คุณหนูเพคะ เมื่อก่อนในส่วนของคุณหนูก็เป็นเช่นนี้เพคะ ล้วนแล้วถูกคนใจดำเหล่านั้นแอบจิกไป ชวนหลันต่อว่าพวกเขาแล้ว แต่พวกเขากลับยังพูดว่าท่านคนเดียวก็กินมากมาย ขนาดนี้ไม่ไหวหรอก สู้ไม่เท่าแบ่งปันมาให้พวกเขาเสียดีกว่า! พอมาตอนนี้ เมื่อพวกเขาเห็นท่านเอ่ยปากเช่นนี้
จึงได้จัดตามสัดส่วนของท่านอย่างแท้จริงมาให้เพคะ”
เมื่อถูกชวนหลันพูดจาเช่นนี้ ใบหน้าของสาวใช้ที่กำลังเกิดอาการร้อนรนเหล่านี้ก็อด กลั้นไว้ไม่อยู่ ก้มหน้าลง ไม่กล้าสู้หน้าแต่อย่างใด
หลังจากที่ชวนหลันพูดจบ คังเสว่มี่ก็วางตะเกียบลงอย่างช้า ๆ จากนั้นก็หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดมุมปากเล็กน้อย
เมื่อเห็นสายตาของเหล่าสาวใช้และหญิงชราในตำหนัก เหล่านี้ที่ต่างพากันหลบหลีกสายตา พร้อมกับกุมมือทั้งสองข้างไว้แน่นอย่างรวดเร็วนั้น ก็ย่อมรู้ได้ในทันทีว่าพวกเขากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ ภายในใจ
นางโก่งคิ้วเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายแวววาวอย่างชัดเจน จากนั้นก็หันใบหน้าอันอ่อนโยนราวกับดอกพุดซ้อนไป ด้านข้าง
แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างช้าๆกับพวกนางว่า
“เมื่อก่อนข้าไม่ชอบพูด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะโง่ ใครปฏิบัติดีต่อข้า ใครปฏิบัติไม่ดีต่อข้า เรื่องที่พวกเจ้าเคยทำมา ข้ารู้ทั้งนั้น และจำมันได้อย่างขึ้นใจ ข้าไม่ใช่คนใจกว้าง ล่วงเกินข้า ข้าล้วนจำได้ และไม่สามารถยกโทษให้..…….….…..."
น้ำเสียงที่นางพูดไม่ได้ดังมากมายนัก แต่ก็นำมาซึ่งความเคร่งขรึมอย่างไม่ทราบสาเหตุ ให้คนที่ได้ยินรับรู้ได้ถึงความรู้สึกในใจอย่างชัดเจน
หญิงชราและสาวใช้เหล่านั้นต่างมองหน้ากันไปมาด้วยความหวาดกลัวเมื่อ
นึกถึงเรื่องที่เป็นกังวลมาโดยตลอดในหลายวันมานี้แล้ว จากนั้นพวกเขาก็คุกเข่าลง แล้วก้มหัวพร้อมพูดว่า
“คุณหนูใหญ่เพคะ เมื่อก่อนหม่อมฉันถูกบดบังจิตใจ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คิดว่าแค่ใช้เล่ห์เหลี่ยมเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ได้เปรียบ กว่าแล้ว หลังจากนี้หม่อมฉันไม่กล้าอีกแล้วเพคะ ไม่กล้าอีกแล้ว........"
“ใช่เพคะ คุณหนูใหญ่ เมื่อก่อนหม่อมฉันไม่มีทางเลือกเพคะ ชายารองติงที่เป็นนายใหญ่ในตำหนักที่พวกนางอยู่ ชี้แนะให้หม่อมฉัน หม่อมฉันเป็นเพียงแค่บ่าวเบื้องล่าง จะกล้าไม่ทําได้อย่างไรหรือเพคะ !"
ในขณะที่ฟังพวกนางแต่ละคนพูด ใบหน้าของคังเสว่มี่ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ ดวงตาก็ไม่สั่นไหวแม้เพียงนิดเดียว
จริง ๆแล้ว นางรับรู้ได้ถึงเล่ห์เหลี่ยมของตระกูลใหญ่นี้อย่าง ชัดเจน เมื่อครั้งที่นางเป็นสายลับ ก็ใช่ว่าจะไม่เคยแฝงตัวเข้าไปอยู่ในวงศ์ตระกูลใหญ่ อิทธิพลมืดมาก่อนแต่อย่างใด นางก็เคยเห็นคนที่อยู่เบื้องล่างต่างต่อสู้เพื่อผล ประโยชน์ของคนเบื้องบนมานัดต่อนัดแล้ว
หลังจากที่รอให้พวกนางแต่ละคนพูดจบ คังเสว่มี่ก็ได้ปลายตากวาดมองไปทางสาวใช้ที่นั่งคุกเข่า อยู่บนพื้นด้วยใบหน้าที่แสดงออกถึงความเย็นชาจาก ภายในสู่ภายนอก
แววตาเย็นชาดุจดั่งกระบี่ที่ถูกเคลือบไปด้วยหิมะ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมราวกับน้ำเย็นว่า
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ใช่คนใจกว้างมากก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยแต่อย่างใด เรื่องในอดีต ในเมื่อพวกเจ้าต่างก็ก้มหัวสำนึกผิดแล้ว ก็ให้มันผ่านพ้นไปดั่งสายลมแล้วกัน นับตั้งแต่วันนี้เวลานี้เป็นต้นไป พวกเจ้าโปรดจำเอาไว้ว่าในตำหนักของข้า ข้าเป็นใหญ่ทั้งปวง
หากยังทําเรื่องอะไรลับหลังข้าอีก สี่เอ๋อจะเป็นตัวอย่างให้แก่พวกเจ้า ! ถึงตอนนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่สนใจ แล้วทําเรื่องที่ยากจะพรรณนาออกมาได้ก็แล้วกัน!"
การเอาชีวิตรอดบนโลกใบนี้ หากเอาแต่จมอยู่กับการคิดเล็กคิดน้อยกระหยิ่มกระหยิ่ม นางไม่มีทางจัดการได้หมดทุกคนหรอก แค่ใช้ชีวิตก็ยังเหนื่อยเลย
เพียงแต่ตอนนี้ สาวใช้เหล่านี้ไม่ได้ทําเรื่องที่เป็นการหักหลังต่อนางอีก นางก็ไม่มีความจำเป็นที่จะไม่ให้โอกาสแก่พวกนางแต่ว่า หลังจากนี้ห้ามใครไม่เคารพ ไม่ซื่อสัตย์ต่อนางอีก!เสียงสุดท้าย เป็นเสียงที่ไม่ดังมากนัก แต่กลับมีพลังสนั่นหวั่นไหว ราวกับก้อนหินขนาดใหญ่ร่วงหล่นสู่พื้นดิน พุ่งเข้าชนหัวใจของทุกคนในตำหนักเหล่านี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกนางจะได้รู้กันจริง ๆเสียที ว่าคุณหนูใหญ่เบื้องหน้าผู้นี้ ไม่ใช่คุณหนูใหญ่ที่จะรังแกหรือจะไม่มีปากมีเสียงเฉก เช่นเมื่อก่อนอีกแล้วถึงแม้ว่าคุณหนูใหญ่ตรงหน้าจะยังมีท่าทางเช่นนั้น ก็ตาม แต่คนที่ดูสดใสราวกับรุ้งกินน้ำ บุคลิกดูสบาย ราวกับอ่อนโยนในความเป็นจริงแล้วกลับแข็งแกร่งดุจหลิว แผ่ขยายความเชื่อมั่นในตัวเองและความเคร่งขรึมที่ทุก คนไม่อาจต้านทานได้คังเสว่มี่แสดงความเคร่งขรึมของผู้นำออกมา ความอ่อนน้อมถ่อมตนที่ฝังรากลึกอยู่ในกระดูกมาเป็นระยะเวลายาวนานทำให้พวกนางก้มหัวลงโดยไม่รู้ตัว
copy right hot novel pub