คังเสว่มี่หมุนตัวไปปิดประตู จากนั้นก็มองซ้ายมองขวา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมไม่หนักไม่เบาว่า
“คังวี่จิ่น เจ้าอยู่ในห้องเดี่ยวคนเดียว เสพสุขกับบริการที่มีองครักษ์ตั้งแปดนาย ที่คอยคุ้มกันอยู่ด้านนอก แล้วข้าก็ยังมาส่งอาหารให้แก่เจ้าอีกด้วย ขอทานที่ไหนกันหรือที่จะมีบริการดีเช่นนี้?"
ห้องเดี่ยวที่เป็นห้องฟืน? กับองครักษ์แปดนาย ที่เป็นองครักษ์ที่ไม่อนุญาตให้คังวี่จิ่นได้ออกไปไหนทั้งแปดนาย
“ไปให้พ้นเลย จะตายไหมหากเจ้าไม่ได้รับฝีปากกับข้า?" คังวี่จิ่นด่าทอออกมา
แต่เมื่อสายตามองเห็นข้าวกล่องที่อยู่ในมือของนาง กลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหันในทันที
“เอ่อ..น้องสาวที่แสนดีของข้า ข้ารู้ว่ายังไงเจ้าก็ต้องมาส่งอาหารให้แก่ข้าอยู่แล้ว ข้าหิวมาตลอดทั้งคืนหนึ่งคืนเต็มๆ เจ้ารีบนำมาให้ข้าเถอะ!”
คังเสว่มี่ยืนกอดอก นางยืนอย่างไม่ไหวติง จากนั้นก็เงยหน้าไปทางคานที่อยู่เหนือศีรษะ แล้วก็ทอดถอนหายใจออกมาก่อนพูดว่า
“เมื่อสักครู่มีคนบอกว่าข้าไม่มีมโนธรรมสำนึก เรื่องที่มาส่งอาหารนี้
ทำไมถึงกลายเป็นคนไม่มีมโนธรรมสำนึกไปได้ละ เช่นนั้นข้าว่าข้านำกลับไปดีกว่า!"
เมื่อพูดจบ คังเสวามี่ก็ทอดถอนหายใจออกมา จากนั้นก็พาสีหน้าที่ผิดหวังอย่างมากนั้นหมุนตัวทำท่าจะจากไป
คังวี่จิ่นถูกทิ้งอยู่ในห้องฟืนนี้ตั้งแต่เมื่อวานซืนยามบ่าย จนมาถึงตอนเช้าของวันนี้ ยังไม่ได้รับประทานอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อเห็นว่าอาหารที่จะได้เข้าปากกำลังจะลอยจากไป จะมีวันยอมได้อย่างไร เขายืดตัวขึ้น แล้วยื่นมือออกไป ก่อนพูดด้วยเสียงอันดังว่า
“เฮเฮ้....อย่า อย่า น้องสาวของข้า น้องสาวผู้ที่น่ารักและใจดีที่สุดของข้า ทิ้งอาหารไปก็สิ้นเปลืองเปล่า เอามาให้ข้าเถอะนะ นะ..อ๊า ไอหยา....."
เมื่อสิ้นสุดคำว่า “ไอหยา”คำสุดท้ายเพราะเคลื่อนไหวแรงเกินไป ด้วยความไม่ระวังบาดแผลบนก้นของเขาก็ฉีกออก
คังเสว่มี่ที่เดิมทีตั้งใจจะแกล้งเขาเท่านั้น เมื่อได้ยินเสียงร้องนี้ จึงนึกเรื่องที่ชวนหลันบอกว่าเขาถูกไม้เรียวหนาสองชั้นเฆี่ยนตีขึ้นมาได้ จึงได้รีบหมุนตัวกลับมา จากนั้นก็นำกล่องข้าววางลง แล้วถามขึ้นว่า
“ยังเจ็บก้นอยู่หรือ? ทายาแล้วหรือไม่เพคะ?”
ไม้เรียวในสมัยโบราณ ใช้ไม้ที่แข็งแรงและหนาสร้างขึ้นมา เมื่อตีไปบนสะโพก ถึงขั้นว่าเจ็บแตกได้เลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อวานซืนอ๋องคังก็กำลังทรงกริ้วด้วย ในตอนที่ลงไม้
องครักษ์ที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้านข้างเหล่านี้ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากใดๆ ดังนั้นการเฆี่ยนด้วยไม้ยี่สิบที่ในครั้งนี้ ไม้แต่ละแผ่นเป็นวัสดุที่แท้จริง ไม่มีหลอกลวงอย่างแน่นอน
“ไม่เจ็บได้หรือ? ไม้หนาสองนิ้วเชียวนะตอนที่เขาลงมือ เขายังใช้กำลังแรงกายทั้งหมดที่มีหาใช่กำลังอันน้อยนิดด้วย แผ่นไม้ครั้งสุดท้ายที่ตีลงมา ข้านั้นเจ็บเจียนตายอยู่แล้ว!"
คังวี่จิ่นแยกเขี้ยวยิงฟันออกมา และความโกรธเคืองที่เคลือบอยู่ในดวงตาเล็กน้อย พร้อมกับความเหยียดหยาม
คังเสว่มี่มองไปทางผ้าห่มผืนบางที่คลุมอยู่บนตัวของเขา คังซื่อจื่อไม่ได้สวมกางเกง
สะโพกเนื้อที่อ่อนนุ่มเกิดรอยม่วงแดงปะปนกันไป คล้ายคลึงกับจานสีอย่างไรอย่างนั้น ด้านบนกลับเกิดวัตถุโปร่งใสบางๆขึ้นมาชั้นหนึ่ง มีกลิ่นหอมคล้ายดอกบัวและดอกกล้วยไม้ แล้วก็ยังมีกลิ่นยาอีกด้วย ซึ่งเป็นยาทาแก้ฟกช้ำ
“ทายาแล้วนี่นา ก็น่าจะดีขึ้นแล้วนี่"
คังวี่จิ่นหัวเราะเยาะออกมา
“นี่คือสิ่งที่เสี่ยวลี่จื่อไปทำตัวลับๆล่อๆมาเมื่อวาน ถือโอกาสที่คนไม่สนใจนำยานี้มาให้แก่เจ้า ไม่อย่างนั้น เจ้าคงได้เจ็บตายไปนานแล้ว”
เสี่ยวลี่จื่อเป็นคนสนิทของคังวี่จิ่น
คงเสว่มี่หัวเราะออกมาเงียบๆ อ๋องคังปวดใจกับการโดนเฆี่ยนของบุตรชายคนนี้มาก ดังนั้นหลังจากเฆี่ยนเสร็จก็รีบให้คนนำยาแก้ฟกช้ำนี้มาให้
ไม่อย่างนั้น คนของคังวี่จิ่นไม่มีทางแอบนำยาหลบหลีกองครักษ์ที่มีร่างกายกำยำถึงแปดนายที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่หน้าประตูเข้ามาได้อย่างแน่นอน
ดั่งพ่อแม่ใต้หล้านี้ ล้วนแล้วแต่เจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลาย เป็นเหล็กกล้าได้
"อย่ามองสิ ทำไมหญิงสาวอย่างเจ้าถึงไม่มีความสำรวมเช่นนี้ มองก้นของบุรุษได้อย่างไรกัน ! " คังวี่จิ่นพลิกมือตีไปบนมือของคังเสว่มี่ด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ
โดยที่ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำกริยาใดออกมาอธิบายพฤติกรรรม ของน้องสาวผู้นี้ได้
ถึงแม่ว่าทั้งสองจะเป็นพี่ชายน้องสาวกัน ก็น่าจะหลีกเลี่ยงบ้างสิ เขาอายุสิบสี่ปีแล้วนะ
เมื่อมองในสิ่งที่ต้องการเห็นแล้ว
ในขณะที่คังเสว่มี่มองไปทางใบหน้าที่แดงระเรื่อของคุณชายใหญ่ผู้สูงศักดิ์ของตระกูลคังอย่างขบขันอยู่นั้น นางก็หลบหลีกมือที่กำลังตีมาบนมือของนางอย่างฉับพลัน
แล้ววางบนผ้าห่มผืนบางเบาๆ เพื่อหลบหลีกการสัมผัสแผล
ในเวลานี้เมื่อนึกถึงสะโพกที่เต็มไปด้วยคราบเลือด และอาการบวมเป่ง แววตากระพริบระยิบระยับเล็กน้อย ครั้งนี้นางไม่อยากถกเถียงกับเขาแล้ว
นอกจากความอบอุ่นที่ฉายออกมาทางดวงตา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆว่า
“ทำไมเจ้าถึงไม่พูดกับอ๋องคังล่ะว่าถันซื่อหัวผู้นั้นคิดที่จะล่วงเกินข้า มันเป็นเรื่องที่สมควรที่เจ้าจะสู้กับเขาเพื่อปกป้องข้าไม่ใช่หรือ?”
ถึงแม้ว่าจะเพิ่งเคยพบเจอกับอ๋องคังเป็นครั้งแรกก็ตาม แต่ก็พอดูออกว่าเขานั้นค่อนข้างเป็นห่วงเป็นใยต่อบิดาและบุรชาย บุตรสาวมาก
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดูแลเอาใจใส่คังเสว่มี่มากเท่าไหร่นัก แต่อาหารการกิน เสื้อผ้าอาภรณ์ของนางไม่น้อยหน้าแต่อย่างใด
ส่วนคังวี่จิ่นที่สร้างแต่เรื่องมาหลายปี หากไม่มีอ๋องคังปกป้องไว้ละก็ เกรงว่าคงถูกคนจับตัวไปนานแล้ว
หากเป็นคังวี่จิ่นพูดเพื่อปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกพูดจาแทะโลมละก็ เรื่องก็คงไม่จบเช่นนี้
เขาเป็นบุตรชายของท่านอ๋องคังที่เป็นถึงเป็นแม่ทัพใหญ่
ถึงแม้ว่าบุตรสาวจะไม่เป็นที่โปรดปรานในวังก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไปพูดจาแทะโลมต่อบุตรสาวของท่านอ๋องได้!
“เจ้าช่างโง่เง่าเสียจริง เจ้าโง่เขลาเบาปัญญามากจริงๆ! วันนี้ข้ากับเขาทะเลาะกันที่ไหน สาเหตุอะไรบอกมาสิ
ที่ข้าไม่อธิบายอะไรเลยนั่นก็เพื่อเจ้า เพื่อชื่อเสียงของเจ้าทั้งนั้น !"
ในขณะที่คังวี่จิ่นกำลังพูด ดวงตาทั้งสองข้างก็ได้มองมายังกล่องข้าว
ก่อนจะพูดเสียงดังโวยวายออกมาว่า "ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว เจ้ารีบเอาของนั้นออกมาเถอะ!"
เมื่อได้ยินคำพูดของคังวี่จิ่น คังเสว่มี่ก็สั่นสะท้านขึ้นมาในจิตใจ จากนั้นก็มองไปยังใบหน้าที่ซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด ของคังวี่จิ่น นางเม้มปากแล้วเปิดกล่องข้าวนั้น ก่อนจะนำจานรองมาวางอยู่ตรงหน้าของเขา แล้วพูดว่า"แล้วไงล่ะ!ข้าไม่ได้สนใจชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านั้นหรอก"คังวี่จิ่นก็จับขนมปังจีนยัดเข้าใส่ปากทันที ไม่รู้ว่าจุก หรือว่าได้ยินคำพูดของคังเสว่มี่เขาจึงพูดอู้อี้ในขณะที่กำลังเคี้ยวขนมปังอยู่ในปาก เมื่อวางของนั้นลงเขาก็พูดขึ้นว่า“ข้าจะบอกเจ้าไว้นะ ถันซื่อหัวผู้นั้น มีชื่อเสียงเน่าเฟะที่สุด แม่นางผู้ใดที่เกี่ยวข้องกับเขา ก็ถือว่าไร้ซึ่งความบริสุทธิ์แล้ว เมื่อก่อนเจ้าถูกหาว่าเป็นใบ้ โง่ และเบาปัญญา ตอนนี้กว่าจะได้ฟื้นกลับมาเป็นปกติไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จะพูดจะจาอะไรออกมา ก็ไม่คุ้มเสียทั้งนั้น! อ่ะ สำลัก รีบเอาน้ำมา โจ๊ก โจ๊ก....."เมื่อคังเสว่มี่ ได้ยินคำสั่งของเขา จากนั้นก็ยื่นของที่อยู่ในมือแก่เขา ด้วยแววตาที่เปล่งประกายระยิบระยิบราวกับดวงดาว ออกมาใช่ ในยุคสมัยนี้ ชื่อเสียงของหญิงสาวนั้นสำคัญมาก หากมีความเกี่ยวข้องกับกันซื่อหัว ไม่ว่าจะถูกหรือผิด คนเหล่านี้ย่อมนำไปพูดกันว่าเป็นหญิงงามที่เพียบ พร้อมเป็นสง่า ทำไมถึงได้ไปพัวพันกับคนเช่นนั้นได้ซึ่งก็เหมือนกับยุคสมัยปัจจุบัน ชายหนุ่มมั่วสุม เอาแต่หาเมียน้อยจากด้านนอกไปวัน ๆ ทุกคนต่างรุมประณามเมียน้อย แต่ไม่ได้รุมประณามชายหนุ่มที่เจ้าชู้หลายใจ จิตใจโหดเหี้ยมผู้นั้นแต่อย่างใดดังนั้นคังวี่จิ่นจึงยอมที่จะโดนไม้เฆี่ยนตี ถูกคุมขังอยู่ในห้องฟืน นอนอยู่บนหญ้าหยาบๆ หิวจนหน้าอกติดกับแผ่นหลัง เหตุผลที่เขาไม่เอ่ยคำใดออกมาก็เพราะต้องการ ปกป้องน้องสาวหากจะบอกว่าก่อนหน้านั้นนางไปตามคังวี่จิ่นกลับมา จากร้านอาหารจุ้ยเซียน เป็นเพราะคำสั่งของเจ้าของร่างเดิมวินาทีนี้ จิตใต้สำนึกของคังเสว่มี่นางได้ยกคังวี่จิ่นให้เป็นพี่ชายของตัวเองไปแล้ว
copy right hot novel pub