"ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงจะคิดผิดแล้ว ตอนที่จี้อี้อายุเพียงเก้าขวบ เขาเคยประลองวรยุทธ์และร่ำเรียนวิชาตัวเบาด้วยกันกับข้าแล้ว
มีคนที่เคยเห็นการประลองในครั้งนั้นและเคยเขียนบทกวีที่บรรยายเกี่ยวกับวรยุทธ์และวิชาตัวเบาของเขาว่า ...พลิ้วไหวรวดเร็วในหมู่เมฆ ตัวเบาหายเข้าไปในเมฆาลึก”
คังเสว่มี่สีหน้าตกตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่าแค่เพียงวิชาตัวเบาจะสามารถทำให้คนเขียน บทกวีสรรเสริญออกมาได้ จี้อี้มีอิทธิพลมากขนาดนี้เลยหรือ !
คังเสวีมี่ที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง นิ่งค้างไปครู่หนึ่งนางกระพริบตาไปมา แล้วกล่าวออกมาว่า
“วิชาตัวเบาของเขาดีกว่าพระองค์อย่างนั้นหรือเพคะ?”
“ในปีนั้นเขาเป็นที่หนึ่ง ข้าเป็นที่สอง ตอนที่ข้าไปถึงปลายทาง เขาก็นั่งลงชงชาดื่มแล้ว
ในขณะนั้นคนที่กำลังมองเขาบินขึ้นไปล้วนมองไม่ทัน เห็นไม่ชัดกันทั้งนั้น"
ไป๋หลี่เหลียนยิ้มออกมาอย่างช้าๆ และทำสีหน้าท่าทางสบายๆ
เขาไม่แสดงสีหน้าลำบากใจที่ตัวเองพ่ายแพ้เลยสักนิด เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา
ในความหมายของคำพูดนั้นไม่ยากเลยที่จะได้ยินคำพูดที่แสดงความเลื่อมใสศรัทธาที่มีต่อจื้อี้อย่างจริงใจ
ชงชาแล้วงั้นหรือ? จี้อี้คนนั้นอย่างน้อยก็ต้องมาถึงจุดหมายก่อนเวลาหนึ่ง ถ้วยชา(10 นาที)แล้วน่ะสิ!
นางนึกถึงเหตุการณ์ที่จี้อี้อยู่ในลานบ้านในวันนั้นขึ้นได้ ว่า ตอนที่ร่างของเขาอยู่ในอากาศ ก็เหมือนกับในบทกวีที่ว่า สุภาพและสง่างามดั่งเมฆสีม่วง มองไม่เห็นดั่งลมที่พัดเย็นสบาย ในชั่วพริบตาเดียวก็ปลิวสะบัดไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับได้ลอยหายเข้าไปในก้อนเมฆ
ที่จริงแล้วในตอนนั้นเธอก็คิดเหมือนกันว่าการ เคลื่อนไหวของจี้อี้ก็ช้าอยู่บ้างจริงๆ แต่นางได้มองว่าจี้อี้เป็นคนที่สง่างามและไม่แยแสอะไร ก็คือถ้าไม่มีวรยุทธ์ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก แถมยังมีท่าทางเอื่อยเฉื่อย
ถ้าอย่างนั้นตอนนั้นเขาก็จงใจเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ เพื่อให้นางเห็นวิชาตัวเบาของเขาได้อย่างชัดเจน มากขึ้นอย่างนั้นหรือ?
คนเจ้าเล่ห์จี้หวังดีขนาดนี้เลยหรือ? บางทีนี่คงจะเป็นการหยั่งเชิงอีกครั้งของเขากระมัง ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ
“กำลังภายในของเจ้าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยนะ"
ไป๋หลี่เหลียนคลายมือออกจากมือของนาง แล้วมองดูใบหน้าที่กำลังพินิจพิเคราะห์ของคังเสว่มี่
“ถ้าเช่นนั้นปัญหาคืออะไรเล่เพคะ? ไม่ใช่ว่าวิชาตัวเบานี้มีกับดัก เลยทำให้กำลังภายในของหม่อมฉันใช้การไม่ได้อย่าง นั้นหรือเพคะ?”
ในเมื่อกำลังภายในไม่มีปัญหาอะไร คังเสว่มี่จึงรู้สึกประหลาดใจอยู่ภายในใจ ถ้าหากการคาดเดาของนางไม่ผิดพลาด วิชาตัวเบาของนางก็คงถูกเจ้าอุบายจี้ผนึกเอาไว้เสีย แล้ว!
“หยุดคิดอะไรซี้ซั้วได้แล้ว เมื่อกี้ข้าก็ดูออกนะว่า วิชาตัวเบาของเจ้าเหมือนกันกับวิชาตัวเบาของจี้อี้
ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปเรียนรู้มาได้อย่างไร แต่วิชาตัวเบาของเขานั้น มีคนหลายคนอยากจะให้เขามาสอน เขาก็ไม่เคยตอบรับคำขอเลย
แม้แต่ชี้แนะให้คนอื่น เขาก็บอกว่าไม่มีจุดประสงค์เช่นนี้ สามารถกล่าวได้ว่ามันคือวิชาที่มีเฉพาะเขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เจ้าก็พอจะรู้จักนี่!”
ไป๋หลี่เหลียนใช้พัดหยกสีเขียวมรกตเคาะไปบนศีรษะ ของนางหนึ่งที ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วก็กล่าวขึ้นมา
คังเสว่มี่ลูบๆคลำๆบริเวณที่ถูกตี ย่นจมูก
กระพริบตาไปมาแล้วพูดว่า “ในตอนที่เขาลอยขึ้นมา ข้าก็ดูเขาอยู่ข้างๆ หลังจากนั้นข้าก็เรียนรู้วิชาตัวเบามาจากเขา"
นี่จะโทษนางก็ไม่ได้นะ
นางความจำเป็นเลิศมาแต่ไหนแต่ไรแค่ดูผ่านตาก็จำได้ ไม่ลืม การเคลื่อนไหวของจี้อี้ก็เชื่องช้า ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไรนางก็มองเห็นทั้งหมดได้ อย่างชัดเจนอยู่แล้ว
“นี่แสดงว่าเขาให้เจ้าดูเจ้าก็ทำเป็นเลยอย่างนั้นหรือ?” แล้วแสดงสีหน้าท่าทางแปลกใจเล็กน้อยและพูดว่า “ดูเหมือนว่าเขาจะต้องบินช้ามากเลยนะ ไป๋หลี่เหลียนมองคังเสว่มี่
เมื่อนึกถึงสถานการณ์ในตอนนั้น คังเสว่มี่จึงพูดออกมาด้วยความโกรธเคืองว่า
“พระองค์อย่าเพิ่งพูดอะไรสิเพคะ เขาบอกว่าจะบินให้ข้าดู ผลสุดท้าย พอบินขึ้นไปแล้ว จากนั้นก็บินหายไปเลย เหตุใดข้ายังจะยืดคอยาวรอให้เขากลับมาอยู่ที่เดิมด้วยเล่า เชอะ!”
ในขณะที่ไป๋หลี่เหลียนกำลังมองสีหน้าของนางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เหมือนจะนึกถึงเหตุการณ์ในตอนที่เขาไปหาจี้อี้เพื่อเดิน หมากด้วยกันในวันนั้นขึ้นมาได้
ในคืนนั้น เขาได้ยินมาว่า เพื่อดูแลคุณหนูใหญ่ตระกูลคังที่เมาสุราแล้ว
ดูเหมือนว่าจี้อี้จะค้างคืนอยู่ที่ตำหนักอ๋องคัง ซึ่งก็คือคนที่อยู่ต่อหน้าเขาคนนี้นี่เอง
ในบัดดลนั้นเขาก็รู้สึกสนใจนางยิ่งขึ้น เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เมื่อครู่นี้ข้าดูแล้ว ปัญหาของเจ้าไม่ได้อยู่ที่กำลังภายใน แล้วก็ไม่ได้อยู่ที่วิชาตัวเบาด้วย..."
“เช่นนั้นมันคืออะไรล่ะเพคะ?” คังเสว่มี่เบิกตากว้างถามเขา
“สิ่งที่สำคัญก็คือการปรับลมหายใจของเจ้า กำลังภายในของเจ้าสามารถหมุนเวียนอยู่ในร่างกาย เจ้าปรับลมหายใจไม่ถูกต้อง เพียงทิศทางเดียว
ไร้หนทางที่จะกลับไปในจุดตันเถียนได้อีกครั้ง
ดังนั้น คนที่มีกำลังภายในที่ล้ำลึก หลังจากที่แสดงวรยุทธ์ตัวเบาเพียงไม่นาน ก็จะเป็นเช่นนี้ได้เช่นกันเพราะว่าซี่แท้ไม่สามารถไหล เวียนต่อไปได้ แล้วร่วงหล่นลงเลย
ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดหรอกนะ ว่ากำลังภายในในตัวเจ้าลึกล้ำแค่ไหน ทว่าแม้แต่วิธีเกร็งพลังที่เป็นพื้นฐานที่สุดเจ้าก็ดันไม่รู้ จัก กำลังภายในของเจ้านี้จะออกมาได้อย่างไร?"
ขณะที่ไป๋หลี่เหลียนกำลังพูดอยู่ เขาก็จ้องมองคังเสวมี่ไปด้วยดวงตาที่เปี่ยมล้นไปด้วย รอยยิ้มเหมือนกับว่ากำลังค้นหาอะไรอยู่ สายตาประสานกัน ทำให้ภายในใจของคังเสว่มีเต้นรัว
เชื้อพระวงศ์เหล่านี้ ไม่ใช่คนง่ายๆเลยสักคน พูดข้ออ้างมานิดหน่อย ก็อาจมีข้อสงสัยข้อต่อไปขึ้นมาอีก
นางจะต้องบอกกับไป๋หลี่เหลียนได้เยี่ยงไร ว่านางจะมีกำลังภายในเองหลังจากที่นางตื่นนอนแล้ว? หรือจะบอกเขาไปว่าที่นางกับใครคนนั้นมีวรยุทธ์ เหมือนกัน
เป็นเพราะหลังจากที่นางตกลงไปจากหน้าผาสูง แล้วบังเอิญพบกับยอดฝีมือที่ถ่ายทอดกำลังภายในทั้งหมดให้กับนางโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ดังนั้นจึงทำให้นางมีกำลังภายในโดยไม่รู้ตัว?
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดว่าจะเอ่ยคำไหนดีถึงจะเหมาะสมอยู่ด้านนี้
ไป๋หลี่เหลียนกลับไม่ได้สืบสาวราวเรื่องถึงปัญหานี้แต่ อย่างใด
เขาไม่เห็นความหวาดกลัว หวาดหวั่น และไม่ชอบใจที่ออกมาจากในตาของนาง... ลูกตาดำนางของ เปล่งประกายแวววาว ใสสะอาดและบริสุทธิ์ ราวกับสายลมที่พัดเย็นสบายผ่านมา
บุคคลที่มีสายตาเช่นนี้ ไม่ใช่คนที่มีจิตใจที่เต็มไปด้วยเจตนามิดีมิร้ายจนยากที่ จะเดาออกเขากระพริบขนตาที่งอนหนา ริมฝีปากอมยิ้ม ราวกับดอกท้อที่พลิ้วไหวในสายลมฤดูใบไม้ผลิ แล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าข้าจะได้มาสอนเจ้า และยังเริ่มสอนตั้งแต่การเกร็งกำลังที่เป็นพื้นฐานที่สุด อีก!"คังเสว่มียิ้ม และคิดในใจว่า ในการประลองไป๋หลี่เหลียนได้ที่สอง จื้อี้ได้ที่หนึ่ง แล้วนางล่ะ ลอยตัวยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งก็ตกลงมาเสียแล้ว! นางแอบเบ้ปากอย่างเงียบๆอยู่ในใจกังฟูของนางในยุคปัจจุบันไม่ถือว่าอ่อนด้อยเลย ทุกคนล้วนเหาะเหินเดินอากาศได้ทั้งนั้น แต่ทว่าในยุคสมัยนี้นางเงยหน้ามองไป๋หลี่เหลียนด้วยแววตาที่ใสแจ๋ว และพูดว่า “พระองค์ก็ลองดูสิเพคะ สอนให้หม่อมฉันเกร็งกำลังปรับลมปรานเป็นแล้ว ทำให้วิชาตัวเบาและกำลังภายในของหม่อมฉันตื่นตัวได้แล้ว พระองค์ก็ถือว่ารู้สึกคุ้มค่ามากเลยนะเพคะ"“พูดอย่างนี้ก็มีเหตุผลนะ การปรับลมปราณเรียนไม่ยาก แต่ไม่ใช่ว่าจะใช้เวลาแค่ครู่เดียวก็สามารถทำได้แล้วข้าก็ไม่ว่าหรอกนะถ้าจะให้สอนทั้งคืนในสายลมหนาว แต่ทว่าใช้เวลาสอนทั้งคืนก็สอนไม่เสร็จหรอก ยามค่ำคืนเช่นนี้ เจ้ากลับไปที่ตำหนักอ๋องคังก่อนจะดีกว่า ถึงเวลานั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปหาเจ้าค่อยไปสอนเจ้าเป็นอย่างไร?"“เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน เรียนตอนดึกดื่นเที่ยงคืนเช่นนี้ คนก็ง่วง ไม่สู้กลับไปหลับให้เต็มอิ่มแล้วค่อยมาใหม่จะดีกว่า” คังเสว่มี่หาวหนึ่งครั้ง หนังตาที่ลืมอยู่ก็เริ่มหนักบ้างแล้วไป๋หลี่เหลียนเงยหน้ามองไปในที่ไกลๆ แม้ว่าเมืองหลวงในตอนกลางคืนจะไม่ได้มีดเสียจนสุด ลูกหูลูกตา แต่แสงไฟก็สว่างไม่เท่าแสงอาทิตย์เลย
copy right hot novel pub