โหมดมืด
ภาษา arrow_icon

พลิกชะตาจอมนางข้ามภพ

ตอนที่ 97 เรียกข้าว่าไป๋หลี่เหลียน

เขาเรียกสายตากลับไปมองคังเสว่มี่แล้วพูดว่า “ข้าว่า ให้ข้าไปส่งเจ้าเถอะ”

“ไม่ต้องแล้วเพคะ หม่อมฉันกลับไปเองได้เพคะ” คังเสว่มี่โบกมือไปมา

“ที่นี่ไกลจากตำหนักอ๋องคังอยู่มากถ้าอาศัยแค่การเดินเท้า พอเจ้าเดินทางถึงแล้ว ฟ้าก็ใกล้จะสว่างพอดี” ไป๋หลี่เหลียนอมยิ้ม ดอกท้อพริ้วไหวอยู่ในดวงตา

เมื่อฟังเขาพูดจบ คังเสว่มี่ก็เงยหน้ามองไปข้างหน้าอย่างน่าประหลาดใจ

หลังจากที่ออกมากับชายชุดดำ นางยังพอจำทางได้ แต่หลังจากที่ถูกมองว่าเป็นโจรบ้ากามอยู่ในตำหนักนั้น นางก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าทำอะไรลงไปบ้าง

เมืองหลวงกว้างใหญ่มาก ถึงแม้จะกว้างใหญ่สักแค่ไหน อย่างไรก็ตามนางก็ต้องหาตำหนักอ๋องคังเจออยู่ดี

แต่ทว่า ก็เหมือนที่ไป๋หลี่เหลียนพูดนั่นแหล่ะ ขืนรอให้นางกลับไปถึงตำหนัก ก็ไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว คังเสว่มี่ถอนหายใจแล้วพูด

“เช่นนั้นก็ย่อมได้เพคะ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโจรบ้ากามอีก เช่นนั้นก็ต้องรบกวนให้พี่หั้นตั้นไปส่งข้าสักระยะหนึ่ง เสียแล้ว!อ่า...”

คังเสว่มี่เอียงศีรษะ แก้มทั้งสองข้างก็ค่อยๆมีสีชมพูอ่อนๆลอยขึ้นมา ช่างเป็นภาพที่สวยงามเหลือเกิน

ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ทันใดนั้นไป๋หลี่เหลียนก็ลองเหยียดแขนออก แล้วโอบเอวบางๆของนางเอาไว้ เสื้อคลุมสีม่วงอ่อนขนาดใหญ่ก็ดังพรึบพรับอยู่ในสายลม

สายลมในยามค่ำคืนปะทะเข้ามาบนใบหน้าของคังเสว่มี่ทำให้นางรู้สึกเย็นสบายหาที่ใดเปรียบได้

ทั้งร่างกายของคังเสว่มี่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ผมยาวๆที่สยายออกพลิ้วไหวไปตามสายลม แล้วนางก็ได้มองเห็นทัศนียภาพทั้งสองด้านถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าตัวเองจะเคยบินแล้ว แต่พอถูกไป๋หลี่เหลียนอุ้มขึ้นมาอย่างฉับพลัน นางก็หัวใจเต้นแรง มือทั้งสองข้างจับแขนของไป๋หลี่เหลียนเอาไว้แน่น นางหันไปมองเขาอย่างดุร้ายแล้วพูดว่า

“องค์ชายหกจะไปส่งหม่อมฉัน ท่านก็อย่าไปส่งเร็วขนาดนี้ก็ได้นะเพคะ อย่างไรเสียก็ให้บอกหม่อมฉันก่อนที่จะบินขึ้นไปจะได้ ไหม!”

ขนาดในตอนที่เครื่องบินกำลังจะขึ้น ยังมีการเตือนให้รัดเข็มขัดนิรภัยให้ดีๆครั้งแล้วครั้งเล่าเลยนะ

เขาไม่สำผัสพื้นดินเลย กล้ามเนื้อของเขาและผิวหนังราวดอกบัวในฤดูร้อน และรอยยิ้มที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลของไป๋หลี่เหลียน ลักษณะท่าทางสง่างามราวกับกลีบดอกไม้ที่ลอยละลิ่ว ไปตามสายลม และกำลังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

ไปทางคังเสว่มี่ แล้วพูดว่า

“ตอนนี้รู้สึกกลัวแล้วหรือ ต่อไปยังจะตะโกนเรียกพี่หั้นตั้นอีกหรือไม่?"

เดิมทีประโยคนี้จะต้องเป็นประโยคที่ยั่วโมโหเขาแล้ว คังเสว่มี่แลบลิ้น นางกลับคิดจะตะโกน ใครให้เขาดูดีขนาดนั้นกันล่ะ

แต่ทว่า... เธอลองก้มหน้ามองดูตัวเองที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ดังนั้นจึงยิ้มอย่างน่ารักน่าเอ็นดูแล้วพูดว่า

"หม่อมฉันไม่ได้ชอบตะโกน แค่เรียกจนติดเป็นนิสัยเท่านั้นนะเพคะ ต่อไปนี้หม่อมฉันจะไม่เรียกท่านว่าพี่หั้นตั้นอีก

หม่อมจะกลับคำพูด องค์ชายหกฝ่าบาทท่านอย่าปล่อยให้หม่อมฉันตกลงไปเชียวนะ นี่ถ้าตกลงไปก็ไม่ไหวนะ ตายแน่เลยนะเพคะ"

ไป๋หลี่เหลียนเห็นรอยยิ้มอันนุ่มนวลราวดอกไม้ของนางในดวงตาก็เอ่ยขึ้น

"อืม ต่อไปนี้เจ้าก็เรียกข้าว่า ไป๋หลี่เหลียนเถอะ"

“ถ้าหม่อมฉันเรียกอย่างนี้ จะมีคนมาจับหม่อมฉันไปหรือไม่เพคะ?”

ไม่ใช่ว่านางจะไม่รู้ ว่าจะยุคสมัยโบราณแห่งนี้นางรู้ดีว่า

พระนามขององค์ชายในราชวงศ์นั้นไม่ใช่ว่าจะสามารถเรียกได้ตามอำเภอใจนะ หากไม่ระวังก็จะต้องโดนตัดหัวได้

ไป๋หลี่เหลียนกระพริบตา ขนตาที่เรียวยาวและหนาทึบพริ้วไหว เขายิ้มและพูดว่า

“ข้ายังไม่ถือสาเจ้า คนอื่นมีสิทธิ์อะไรไปถือสาเจ้ากันเล่า"

คังเสว่มี่ยิ้ม แล้วพูดว่า

“เช่นนั้นก็ย่อมได้ ไป๋หลี่เหลียน ช่วยบินดีๆหน่อยจะได้ไหม อย่าทำให้ข้าตกลงไปเชียวนะ !"

ไป๋หลี่เหลียนยิ้ม ปลายเท้าของเขากำลังแตะไปบนหลังคาหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นร่างกายก็ทะยานขึ้นสูงอีกห้าฟุต แล้วพูดด้วยเสียงเหมือนสายลมโบกสะบัดว่า

“ได้ แต่เจ้าอย่าตกใจจนร้องตะโกนเสียงดังล่ะ!”

ขณะที่กำลังมองทัศนียภาพที่สวยงามอยู่ คังเสว่มี่ก็รู้สึกเพียงว่าได้เปิดทัศนวิสัยมากขึ้น ในใจก็ดูเหมือนจะผ่อนคลายขึ้นอีกด้วย

วิธีบินเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายกว่าการนั่งเครื่องบินเสียอีก นางจึงหัวเราะแล้วพูดขึ้นมาตามอารมณ์ว่า

“ใครกลัวใครกัน! บินให้สูงขึ้นอีก มองให้ไกลออกไปอีก มาเลย สูงขึ้นอีกนิดหนึ่งสิ!"

ในความสลัวใต้แสงจันทร์ ภาพของทั้งสองคนที่กำลังบินไปอย่างสง่างามตามใจชอบ

เหมือนกับมังกรแห่งสายลมสองตัวที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าในยามค่ำคืนของเมืองหลวง และเหลือไว้ซึ่งรอยยิ้มที่มีความสุขอย่างไม่ขาดสาย

ระหว่างที่พูดคุยหัวเราะกันอยู่นั้น ก็มาถึงหน้าตำหนักอ๋องคังแล้วอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไป๋หลี่เหลียนรู้สึกขึ้นมาในครั้งแรกว่า หอหลังเล็กของตัวเองอยู่ใกล้กับตำหนักอ๋องคังเกินไป หรือไม่ ทำไมเวลาถึงได้ผ่านไปเร็วเช่นนี้

เขาค่อยๆลดต่ำลงไปที่หลังคา เงยหน้าขึ้นไปมองและถามว่า

“บอกข้ามา เจ้าพักอยู่ตรงไหนหรือ? ข้าจะไปส่ง"

เขากับคังเสว่ที่ไม่เคยคบหากันมาก่อน จึงไม่รู้ว่านางพักอยู่ตรงไหนของตำหนักอ๋องคัง

คังเสวมี่เห็นเขาหยุด แล้วก็มองเห็นตำหนักอ๋องคังที่คุ้นเคยอยู่ตรงหน้า ความเร็วนี้เร็วจริงๆ ไม่ถึงสิบนาทีก็มาบินถึงบ้านแล้ว

รอให้นางเรียนวิธีปรับลมปราณได้แล้ว ต่อไปก็จะสามารถบินออกไปข้างนอกได้เช่นกัน

คิดถึงตรงนี้

ก็หันกลับมามองแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดีมากและพูดว่า

“ไม่ต้องแล้ว ส่งข้าถึงตรงนี้ก็พอ เจ้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลา เข้าไปแล้วไหนจะต้องกลับออกมาอีก"

ไป๋หลี่เหลียนเองก็ไม่อยากฝืนใจนาง จึงกอดนางแล้วกระโดดจากหลังคาลงไปบริเวณที่เงียบสงบลับตาคนภายในกำแพงของตำหนักอ๋องคัง

“เช่นนั้นก็ได้ แต่ตอนที่เข้าไปก็อย่าทำเสียงดังมากเกินไปนะ ถ้าคนมาพบเข้ามันจะยุ่งเอา พรุ่งนี้สายๆข้าจะมาหาเจ้าใหม่นะ!”

“อื้ม!” คำพูดนี้ถูกใจนางจริงๆ คังเสว่มี่พยักหน้า ยิ้มอย่างสดใสแล้วพูดว่า

“เช่นนั้นพรุ่งนี้เจอกันนะ"

“พรุ่งนี้เจอกัน” ไป๋หลี่เหลียนพยักหน้า พอเห็นรูปร่างที่เล็กน่ารักของนาง เขากลับทะลุกิ่งไม้และศาลา แล้วเข้าไปในตำหนักอ๋องคังอย่างว่องไวมาก

เขาก้มศีรษะลงต่ำแล้วยิ้มครู่หนึ่ง ก็เห็นทหารที่อยู่หน้าตำหนักอ๋องคังกำลังเดินลาด ตะเวนมา จึงยกเสื้อคลุมขึ้น แล้วทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้า

คังเสวี่มี่ กลับมาถึงเรือนหลิงหลงแล้ว เวลานี้ในลานบ้านยังคงเงียบสงัด แม้แต่ชวนหลันก็ไม่ตื่นขึ้นมา นางลูบๆคลำๆผมของตัวเอง ผมของนางแห้งแล้ว ดังนั้นจึงใช้ผ้าเช็ดหน้ามาล้างหน้า เช็ดมือ แล้วขึ้นไปนอนอยู่บนเตียง

บัดนี้ ความง่วงก็ได้จู่โจมเข้ามาในที่สุด แต่ทว่าประเดี๋ยวเดียวก็เข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันแล้ว

อีกด้านหนึ่ง

เงาสีม่วงอ่อนก็ลอยลู่ลงไปในหอหลังเล็กอย่างงดงาม และละเอียดอ่อน

พอเซียงเต๋เห็นไป๋หลี่เหลียนกลับมาก็เดินไปอยู่ข้าง

กายเขา ยิ้มและพูดว่า “องค์ชาย พระองค์ไปส่งคุณหนูใหญ่คังแล้วหรือเพคะ?”

“ใช่ ทําไมเหรอ เซียงเต๋ ? ขอเพียงแค่เซียงเต๋ชอบ ข้าก็สามารถพาเจ้าไปเที่ยวบนท้องฟ้าได้เช่นกันนะ” ไป๋หลี่เหลียนยิ้มอย่างสบายใจ แล้วเดินไปที่หน้าเก้าอี้กุ้ยเฟยที่อยู่ตรงระเบียงของหอหลังเล็ก แล้วนอนหลับลงไปอย่างอ่อนเพลีย

ถูกองค์ชายสามฮัวอวิ๋นกงจื่อหยอกเย้าเช่นนี้ เซียงเต๋ไม่ได้แสดงความเอียงอายและความประหม่าไม่มีที่สิ้นสุดเฉกเช่นผู้หญิงเหล่านั้นออกมาบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อยนางคอยรับใช้ใกล้ชิดอยู่ข้างกายไป๋หลี่เหลียนมาตั้งแต่เด็กๆ จึงมีภูมิคุ้มกันต่อคำพูดเช่นนี้อยู่แล้ว นางทอดสายตามองไปที่ไป๋หลี่เหลียนที่อยู่ไกลๆ ยิ้มแล้วพูดว่า“เซียงเต๋คอยรับใช้ฝ่าบาทมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่ได้ยินฝ่าบาทพูดจาหยอกเย้ามานานมากแล้ว ดูเหมือนว่าเย็นนี้อารมณ์ดีหรือเพคะ?เช่นนั้นคงเป็นเพราะคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลคังสินะเพคะ”ไป๋หลี่เหลียนยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปรองหลังศีรษะ แล้วมองไปยังทิศทางที่เพิ่งจะเดินทางกลับมา ยิ้มและพูดว่า“พอได้พูดคุยกับนาง ข้ากลับรู้สึกดีขึ้นมาจริงๆ"“ในเมื่อรู้สึกดี เช่นนั้นพรุ่งนี้ฝ่าบาทก็มีข้ออ้างเพื่อไปหานางได้อีกครั้ง แล้วนะเพคะ” เซียงเต๋ ยกเสื้อผ้าสามตัวเดินเข้ามา แล้วมองไปที่ไป๋หลี่เหลียนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและพูดขึ้นมาอีกว่า“เมื่อสักครู่นี้คุณหนูใหญ่ลืมเอาเสื้อผ้าที่เปลี่ยนออกกลับไปด้วยเพคะ ถ้าฝ่าบาทพอพระทัยพรุ่งนี้ก็เอาไปคืนให้นางก็ได้นะ เพคะ”ไป๋หลี่เหลียนหันสายตาที่สวยงามราวดอกท้อมาเล็กน้อยแล้วมองไปที่กระโปรงยาวสีอ่อนๆที่ยังคงเปียกน้ำอยู่ ลักษณะของเสื้อผ้าชุดนี้ที่โปร่งแสงติดกับเนื้อหนังของ คนคนนั้นก็ได้ลอยขึ้นมาในสมอง ชั่วพริบตาเดียว ดวงตาที่สวยงามราวดอกท้อนั้นก็ได้เปล่งประกายใสแจ๋วขึ้นมา แล้วเขาจึงตีสีหน้าขรึม ส่ายศีรษะแล้วพูดว่า“ไม่ต้องเอาเสื้อผ้าชุดนี้ไปส่งแล้ว เพื่อที่จะไม่ให้คนเขาเห็นเข้า แถมยังต้องอธิบายอะไรให้เยอะแยะอีก”เซียงเต๋ประหลาดใจ เมื่อสักครู่ฝ่าบาทพูดว่าไม่ต้องเอาเสื้อผ้าชุดนี้ส่งกลับไปแล้วอย่างนั้นหรือ?

copy right hot novel pub

แสดงความคิดเห็น / รายงานปัญหาเว็บไซต์