โหมดมืด
ภาษา arrow_icon

พลิกชะตาจอมนางข้ามภพ

ตอนที่ 98 จีบหญิงงาม

ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทเคยพูดว่า การจีบหญิงงาม วิธีที่ดีที่สุดคือจะต้องมีของไปส่งคืน เช่นนี้ ก็จะได้มีเหตุผลที่ดีในการติดต่อหญิงงามเป็นครั้งที่สองแล้ว

ในขณะนี้นี่คือโอกาสที่ดี พอส่งเสื้อผ้าชุดนี้กลับไปแล้ว อีก 2-3 วัน ค่อยเอาเสื้อผ้าชุดเดิมกลับมา เอาอันนึงไปแล้วก็เอาอันนึงมา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่สะดวกสบายมากนัก

หรือว่าฝ่าบาทจะไม่ได้พอใจในตัวคุณหนูใหญ่ตระกูลคัง?

แต่ก็เห็นว่าเมื่อสักครู่ทั้งสองคนก็พูดคุยกันอย่างออกรสอยู่นะ ถ้าเป็นไปตามกฏเมื่อก่อน ฝ่าบาทควรจะพอใจสิถึงจะถูก

ไป๋หลี่เหลียนกำลังมองเซียงเต๋เหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม และกำลังมองความคิดที่อยู่ภายในสายตาของนางให้ ชัดเจน แล้วพูดหยอกล้อด้วยน้ำเสียงสดใสว่า

“เซียงเต๋ มัวเหม่ออะไรอยู่เล่า นางเป็นคุณหนูแห่งตำหนักอ๋องคังนะ ข้าต้องไปหานาง และยังจะต้องหอบเสื้อผ้าวิ่งมาวิ่งไป กลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้าและนางเมื่อคืนนี้อย่างนั้นหรือ?”

“เพคะ ข้าน้อยเข้าใจแล้วเพคะ” เซียงเต๋ไม่รู้เรื่องในห้องอาบน้ำเลย “เรื่องด้ามจับประตู”

นางเพียงแต่รู้สึกว่าเรื่องที่ผู้หญิงคนหนึ่งเข้าไปในห้องอาบน้ำของผู้ชายดึกๆดื่นๆ ไม่ใช่เรื่องที่ควรเอาไปป่าวประกาศให้ใครรู้อย่างกำเริบเสิบสาน

และยังไม่ควรทำให้มันเป็นเรื่องที่โฉ่งฉ่างมากนัก นางก็ก้มดูเสื้อผ้าที่อยู่ในมือ

“มันหายไปแล้วหรือ?”

“หลังจากที่ซักจนสะอาดสะอ้านแล้วค่อยเอามันขึ้น มานะ”

ไป๋หลี่เหลียนถอนสายตากลับ แล้วหลับตาลงอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าได้เข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันแล้ว

“เอ๋?” แต่เสื้อผ้าชุดนี้ถูกสวมแล้วนะ จะเก็บเอาไว้ทำไม?

เซียงเต๋มองดูเสื้อผ้า แล้วก็มองดูไป๋หลี่เหลียน พอเห็นเขาดูเหมือนว่าหลับไปแล้ว จึงไม่ถามอีก แล้วหอบเอาเสื้อผ้าเดินลงไปที่ชั้นหนึ่ง

พระอาทิตย์ค่อยๆขึ้นจากทิศตะวันออก แสงสีทองอันรุ่งโรจน์ค่อยๆสาดส่องจนสว่างไสวไปทั่ว

ณ นําหนักองค์รัชทายาท

ไป๋หลี่รุ่ยที่สวมเสื้อคลุมสีทองสาวเท้าก้าวเดินมาจากข้างนอกเดินเข้าไปในห้องทรงพระอักษร

แสงอาทิตย์สาดส่องไปบนหน้าของเขา จนสามารถมองเห็นรอยพับนิดหน่อยที่อยู่ระหว่างคิ้วได้ และปรากฏความเหนื่อยล้าออกมาเล็กน้อย ยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขามมากขึ้น

พอเดินมาถึงห้องทรงพระอักษรแล้ว เขาก็นั่งลง แล้วถามคนที่อยู่ด้านหลังว่า

“การสอบปากคําเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? มีใครปริปากออกมาหรือไม่ว่าเรื่องที่เราไปล่าสัตว์วัน นั้นแพร่งพรายออกไปได้อย่างไร?”

คนที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทรงพระอักษรนั้น คือชายวัยกลางคนที่มีผิวหน้าขาวเกลี้ยงเกลาอายุ ประมาณสี่สิบปี เขามีนามว่าจางหนิง เป็นพ่อบ้านของตำหนักองค์รัชทายาท

ก่อนหน้านี้เขาเคยคอยรับใช้อยู่ข้างกายฮองเฮาหยวน ต่อมาฮองเฮาหยวนสิ้นพระชนม์ ก็ถูกแต่งตั้งให้ไปรับใช้ดูแลไป๋หลี่รุ่ยต่อ

หลังจากที่อยู่กับไป๋หลี่รุ่ยมาเป็นปีๆ พอเขามีตำหนักเป็นของตัวเอง ก็พาเขาออกมาจากพระราชวัง แล้วให้มาเป็นพ่อบ้านใหญ่ของตำหนักองค์รัชทายาท

“พวกเขารับสารภาพหมดแล้วทุกคนต่างก็พูดว่าตัวเองเป็นคนแพร่งพรายเรื่องนี้ออก มาด้วยตัวเองพะยะค่ะ"

เสียงของจางหนิงมีความคมชัดซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ ของบุคคลที่อยู่ในวัง

“สารภาพหมดแล้วอย่างนั้นหรือ?” ไป๋หลี่รุ่ยหน้านิ่วคิ้วขมวด เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจในผลลัพธ์นี้

จางหนิงโก้งโค้งตัวแล้วพูดว่า

“พะยะค่ะ ก่อนหน้านี้ไม่ยอมรับเลยสักคน ต่อมาถูกไต่สวนด้วยการทรมาน ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตัวเองเป็นคน แพร่งพรายออกมาเองพะยะค่ะ

กระหม่อม เห็นว่า พวกเขาแค่กลัวว่าจะทนทรมานจากการถูกลงโทษไม่ไหว จึงยอมรับสารภาพออกมามั่วๆนะพะยะค่ะ"

“สมควรตาย!” ไป๋หลี่รุ่ยตบลงไปบนโต๊ะหนึ่งฉาด ภายใต้แรงตบที่แรงมาก ทำให้พู่กัน หมึก และกระดาษที่อยู่บนโต๊ะกระเด็นกระดอนยุ่งเหยิงไปหมด

จางหนิงสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ดีที่เขาคอยอยู่รับใช้ข้างกายไป๋หลี่รุ่ยมาเป็นเวลา หลายปี จึงรู้นิสัยใจคอของเขาแล้ว จากนั้นจึงกล่าวว่า

“ฝ่าบาทวันนี้จะจัดการกับคนพวกนั้นอย่างไรหรือพะย่ะค่ะ เราขังพวกเขาเอาไว้ในคุกตลอดไปไม่ได้นะพะย่ะค่ะ”

“ในเมื่อพวกเขาทั้งหมดรับสารภาพแล้ว เช่นนั้นก็ฆ่าทิ้งเสีย!"

ไป๋หลี่รุ่ยทำหน้าอึมครึม ในสายตาแฝงไปด้วยจิตสังหารอย่างรุนแรง ความรู้สึกเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกมาทั่วร่างกาย แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในเวลานี้เขาอารมณ์ไม่ดี

เป็นอย่างมาก

หลังจากที่จางหนิงตอบรับแล้ว ก็หันไปจ้องมองสีหน้าของเขา ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเหมาะสมที่จะพูดออกมาหรือไม่

ไป๋หลี่รุ่ยกวดตามองไปที่เขาแล้วพูดว่า

“ยังมีอะไรจะรายงานอีกอย่างนั้นหรือ?”

เขาเอ่ยปากถาม จางหนิงก็ไม่ลังเลอีกต่อไป จึงรายงานว่า

“ครั้งก่อนฝ่าบาทกำชับว่ากระหม่อมจะต้องเฝ้าดูว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลคังเดินทางไปที่ไหนบ้าง หลายวันมานี้ คุณหนูใหญ่ตระกูลคังกลับออกไปนอกตำหนักแค่ครั้งเดียวพะย่ะค่ะ”

เขาเหลือบมองไป๋หลี่รุ่ยอย่างระมัดระวัง แม้ว่าจะเห็นสีหน้าของเขาไม่กลัดกลุ้ม แต่ยังฟังคำพูดของตัวเองอยู่ เห็นได้ชัดว่ามีความสนใจในเรื่องนี้ เขาจึงพูดต่อไปว่า

“นางไปที่ร้านอาหารจุ้ยเซียนพะย่ะค่ะ”

“ที่ไหนนะ?” ไป๋หลี่รุ่ยกวาดสายตามองมา และซ่อนความโกรธเอาไว้

จางหนิงไม่ทราบว่าทำไมองค์รัชทายาทผู้ซึ่งเฉยเมย ต่อคุณหนูใหญ่ตระกูลคังจึงได้ให้ความสนใจนางขึ้นมา แต่การที่คุณหนูใหญ่ตระกูลคังไปที่ร้านอาหารจุ้ยเซียน ก็น่าประหลาดใจมากจริงๆ

“ร้านอาหารจุ้ยเซียนพะย่ะค่ะ แต่ดูท่าทางแล้ว น่าจะไปหาคังซื่อจื่อนะพะย่ะค่ะ

หลังจากที่เข้าไปประมาณครึ่งชั่วยาม ก็ออกมาด้วยกันกับคังซื่อจื่อแล้วพะย่ะค่ะ" จางหนิงกล่าว

"ไปหาคังวี่จิ่นอย่างนั้นรึ?" ไป๋หลี่รุ่ยขมวดคิ้ว แม้ว่าพอได้ยินคำว่าร้านจุ้ยเซียนสามคำ เขาจะเกิดความรู้สึกไม่พอใจอยู่ภายในใจ แต่ถ้าหากไปหาคังวี่จิ่น เช่นนั้นก็ดีขึ้นมาหน่อย

แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า

“เป็นเช่นนี้เอง?” เขาใช้นิ้วบีบคิ้วที่อ่อนล้าของเขา

จางหนิงพูดต่อไปว่า “หลังจากที่ออกมา ดูเหมือนว่าคุณหนูใหญ่จะเมาแล้ว คังซื่อจื่อมีข้อพิพาทกับผู้อื่น ทำให้จี้ซื่อจื่อต้องนำตัวคุณหนูใหญ่กลับไปส่ง เพื่อดูแลคุณหนูใหญ่ที่เมาสุราอยู่ จี้ซื่อจื่อต้องค้างคืนอยู่ที่ตำหนักอ่องคังหนึ่งคืนพะย่ะค่ะ”

“จี้อี้ ดูแลคังเสว่มี่งั้นรึ?” ไป๋หลี่รุ่ยใช้มือยกขึ้นมาถามโดยฉับพลันด้วยสายตาที่ เย็นชาเล็กน้อย

ไป๋หลี่รุ่ยไม่อยากจะเชื่อ แม้แต่จางหนิงก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน ว่าจี้ซื่อจื่อจะไปดูแลคนที่เล่าลือว่าทั้งโง่ทั้งทึ่มคนนั้นได้

แต่ทว่าข่าวที่ลูกน้องของเขาไปสืบความมาน่าจะไม่ผิด เขามีความลังเลที่จะบรรยายอยู่บ้าง เป็นแน่

“ใช่แล้วฝ่าบาท หลังจากที่จี้ชื่อจื่อเข้าไปในวันนั้น ก็ไม่มีใครเห็นเขาออกมาเลยพะยะค่ะ

ตามที่คนรับใช้ของตำหนักอ๋องคังพูดมาว่า ทุกคนต่างก็เห็นจี้ซื่อจื่ออุ้มคุณหนูใหญ่เข้าไปในเรือนที่นางพักแล้วพะย่ะค่ะ"

ไป๋หลี่รุ่ยขมวดคิ้วขึ้น เม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นแฝงไปด้วยความหนักแน่นและหม่นหมองเล็กน้อย เขาย้ายฝ่ามือจากบนโต๊ะไปอยู่ที่หัวเข่า แล้วออกแรงจับหัวเข่าเอาไว้แน่น

คิดไม่ถึงเลยว่าจี้อี้จะกลายเป็นคนพิเศษสำหรับคังเสว่มี่ เช่นนี้

และเป็นเพราะว่าเขาเองก็คิดว่าคังเสว่มี่นั้น พิเศษไม่เหมือน ใครและมีความคิดที่แตกต่างจากคนอื่นเช่นกันใช่หรือ ไม่?

จี้อี้คนสมควรตายคนนี้ ทิ้งปริศนาข้อหนึ่งให้เขา ทำให้หลายวันมานี้เขาได้กลายเป็นสายลับอยู่ใกล้ๆเขา และต้องวิ่งเต้นไปทั่วจนไม่มีเวลาว่างเลย

และยังเอารายชื่อชื่อหนึ่งให้เขาด้วยโดยบอกว่าบุคคล นี้เป็นคนที่เปิดเผยข่าวนี้ !

คิดว่าเขาเป็นคนโง่อย่างนั้นหรือ? จึงถูกหลอกด้วยชื่อดังกล่าวได้ และย้ายคนที่มีความสามารถที่อยู่ข้างกายตัวเองออก ไปได้อย่างไร? เขาจะทำอย่างนั้นไม่ได้นะ!

ทางนี้กลับเจตนาฉวยโอกาสเข้าหาคังเสว่มี่ แต่จริงๆแล้วนางก็ไม่ได้สนใจเขาเท่าไหร่อยู่แล้ว !

จางหนิงเห็นไป๋หลี่รุ่ยกระพริบตาเป็นนัย

และพอเห็นว่าไม่มีคำสั่งอะไรสักพักใหญ่ เขาจึงเอ่ยปากกระซิบว่า “ฝ่าบาท?”ไป๋หลี่รุ่ยหันหน้ากลับมา แล้วมองไปที่ท้องฟ้าด้านนอก สายตาที่งดงามก็หม่นหมองราวกับท้องฟ้าในยาม พลบค่ำ แล้วสั่งว่า “เจ้าออกไปเตรียมรถม้าให้พร้อมก่อน อีกสองชั่วยาม ข้าจะไปที่ตำหนักอ๋องคัง”“พะยะค่ะ กระหม่อมจะไปเตรียมรถม้าให้บัดเดียวนี้พะยะค่ะ "จางหนิงก้มศีรษะค่านับและตอบรับด้วยความเคารพดูเหมือนว่าในที่สุดวันนี้ฝ่าบาทก็ได้ให้ความสนใจคุณ หนูใหญ่ตระกูลคังขึ้นมาแล้ว กลับกลายเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้เป็นไปตามการแต่งงานที่ฮ่องเต้องค์ก่อนได้ บัญชาเอาไว้เสียทีเขามักจะไม่สนใจในเรื่องความรักเลย พอไทเฮารู้เรื่องเข้าก็เลยรู้สึกไม่สบายพระทัยขึ้นมายามเหมา ณ นําหนักอ่องคัง เหล่าคนรับใช้ล้วนตื่นขึ้นมาเร่งมือทำงานกันแล้วผ่านมาหลายชั่วยามแล้ว ชวนหลันจึงยื่นศีรษะเข้าไปในห้องสองสามครั้ง นางเห็นคังเสวมี่ไม่มีเค้าว่าจะลุกขึ้นมาจากเตียงเลย และแล้วนางจึงเดินเข้าไปในห้อง“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้ใกล้จะยามเฉินแล้วนะเจ้าคะ รีบตื่นเถอะเจ้าค่ะ” ชวนหลันยืนเร่งอยู่ข้างเตียงคังเสว่มี่ โบกไม้โบกมืออย่างสะลึมสะลือ กว่านางจะหลับก็เกือบจะถึงยามอิ่นแล้ว นางได้นอนพักแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง ก็ปลุกนางเสียแล้วชวนหลันจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อคืนวานนางหนีออกไปเที่ยวเตร่ตอนดึกดื่นเที่ยงคืนมา ชวนหลันเพียงแต่จําได้ว่าปกติยามเหม่าคุณหนูของนางก็ตื่นนอนแล้ว นางจึงเร่งรัดอีกครั้งว่า“คุณหนู เมื่อวานยามซวีท่านก็หลับไปแล้ว ถึงตอนนี้ก็เกือบจะหกชั่วยาม นอนเยอะๆไม่ดีต่อร่างกายนะเจ้าคะ ท่านไม่ใช่ว่าจะต้องลุกขึ้นมาฝึกฝนวิชาตัวเบาหรือ เจ้าคะ?”“ไม่เอา อย่ามากวนข้านะ! ” คังเสว่มี่เอาผ้าห่มบางๆขึ้นมาคลุมศีรษะ “ให้ข้านอนอีกสักครู่นะ”ในความสะลึมสะลือนางคิดถึงเรื่องวิชาตัวเบาเมื่อคืนวานขึ้นมาได้ ขณะที่นางหลับตาอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว และคิดว่ายังจะฝึกฝนอะไรอีก บินถึงครึ่งหนึ่งก็ตกลงมาแล้ว..

copy right hot novel pub

แสดงความคิดเห็น / รายงานปัญหาเว็บไซต์