“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง" คังเสว่มี่ พยักหน้า ดูหน้าตาของไป่หลี่เหลียน ก็สามารถจินตนาการหน้าตาของเย่นเฟยออกมาได้ จริงๆ ช่างงดงามเสียนี่กระไร
แต่ผู้หญิงที่อยู่ในวังนี้ ล้วนเสียชีวิตค่อนข้างเร็วใช่หรือไม่?
แม่ของไป๋หลี่ลุ่ยก็เสียชีวิตหลังจากที่ได้ให้กำเนิดเขาใหม่ๆ
แม่ของไป๋หลี่เหลียนก็เสียชีวิตหลังจากที่ให้กำเนิดเขาได้ไม่นาน
แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ในวังแห่งนี้นั้นน่ากลัวและล่อแหลมอันตรายกว่าโครงเรื่องละครย้อนยุคที่ แก่งแย่งชิงดีกันในวังเหล่านั้นจริงๆ
พอนึกถึงการต่อสู้ชิงดีชิงเด่นเหล่านั้น นางก็หนาวสะท้านไปทั้งตัว และยิ่งรู้สึกว่า ตัวเองไม่อาจไปยุ่งเกี่ยวกับไป๋หลี่รุ่ยได้
ตอนนี้เขาเป็นถึงองค์รัชทายาท ถ้าไม่เกิดเหตุที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นในอนาคตเขาก็จะได้ เป็นฮ่องเต้
และมีนางสนมกำนัลที่สวยเพริศพริ้งสามพันคน ถ้าเป็นเช่นนั้นมันน่ากลัวมากเลยนะ
นางที่เป็นคนในยุคปัจจุบันเพียงคนเดียวไปแย่งผู้ชายกับผู้หญิงสองพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน พอลองคิดถึงฉากเลือดเนื้อสาดกระเซ็นไปทั่วและการวางแผนร้ายต่อสู้กันอย่างวุ่นวาย ดูอย่างไรนั่นก็ล้วนเป็นเรื่องที่คิดจนศีรษะเป็นตระคริวแล้วจึงจะทำได้กระมัง
ชวนหลันเห็นคังเสว่มี่ตัวสั่นเทา ก็เลยลองมองออกไปดูพระอาทิตย์ข้างนอก แล้วจึงถามด้วยความไม่เข้าใจเล็กน้อยว่า
“คุณหนู ท่านหนาวหรือเจ้าคะ?”
“อ้อ ไม่หนาวๆ” คังเสว่มี่รีบคืนสติกลับมาอย่างรวดเร็ว นางมองเห็นตัวเองอยู่ในกระจก ก็เลยตกอกตกใจขึ้นมา
หลายวันมานี้ ถ้านางไม่สยายผมยาวๆลงมา ก็ม้วนมวยผมกลมๆที่ง่ายที่สุดเอาไว้บนศีรษะ เห็นได้ชัดว่าง่ายดายและเย็นสบาย แถมยังทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างสะดวกอีกด้วย
แต่อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า คนที่อยู่หน้ากระจกในขณะนี้จะกำลังทำมวยผมเมฆ ลอยผ่านดวงจันทร์อยู่
ใบหน้ารูปเมล็ดแตงเล็กๆอยู่ภายใต้มวยผมที่สวยงาม และเรียบง่าย ยิ่งทำให้เห็นดวงตาที่ใสแป๋ว แก้มสีชมพูงามเพริศพริ้วได้อย่างชัดเจน เหมือนกับน้ำที่กระจ่างในฤดูใบไม้ร่วงค่อยๆแทรกซึม ดอกไม้ล่องลอยอยู่ในอากาศ
ทะลุจากความอ่อนเยาว์ออกมาอย่างสง่างาม ทำให้นางกลายเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาพริ้มเพราไป เรียบร้อย
พอมองดูนางก็รู้สึกไม่คุ้นชินเป็นอย่างมาก เหมือนกับเปลี่ยนหน้าเป็นคนละคน
แต่งหน้าแต่งตัวมีสามเปอร์เซ็นต์ จริงๆแล้วคนเราหน้าตามีเจ็ดเปอร์เซ็นต์
พอแต่งตัวเช่นนี้ออกมา รูปร่างนี้ของนางก็สวยงามมากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ก็ยิ่งสวยงามเพิ่มขึ้นไปอีกสามเปอร์เซ็นต์
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ คุณหนู สวยหรือไม่เจ้าค่ะ”
ชวนหลันมองผลงานที่ตัวเองทำอย่างพึงพอใจ ในวันธรรมดาคุณหนูตามใจตัวเองมากเกินไป วันนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าและทรงผม รับประกันได้ว่าสวยโดดเด่นยิ่งกว่าสาวงามที่เลื่องชื่อ เหล่านั้นหลายเท่านัก
คังเสว่มี่มองซ้ายมองขวา นางยังรู้สึกแปลกตา
จึงถอดกระจกออกมาส่องให้รู้แล้วรู้รอดไป
"สวยงาม สวยงามอย่างมาก ข้านึกว่าเจ้าจะทำมวยผมทรงนี้ไม่เป็นซะอีก คิดไม่ถึงว่ามือเล็กๆจะปราดเปรียวว่องไวมากขนาดนี้ "
นางไม่ได้เสแสร้งทําตัวเด่นเลย นางเป็นหญิงสาวนะ
ใครจะไม่หวังให้ตัวเองแต่งตัวสวยๆบ้างล่ะ
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อก่อนนางเคยเห็นมวยผมสวยๆเหล่านี้ แค่ในละครโทรทัศน์เท่านั้น วันนี้ตัวเองได้ทําหนึ่งมวย และก็ไม่รุ่มร่ามทำไมจะไม่สวยล่ะ
ชวนหลันถูกคุณหนูชมเชย ดวงตาสว่างสดใส หยิบเครื่องประดับขึ้นมาปักไว้บนมวยผม ปากเล็กๆก็ทําปากขมุบขมิบแล้วพูดว่า
“คุณหนู เมื่อก่อนท่านชอบบ่นว่าการหวีผมมันยุ่งยาก จึงไม่ให้ข้าน้อยหวีเลย มวยผมเมฆลอยผ่านดวงจันทร์นี้ ถ้าประดับปิ่นกลัดมวยผมรูปผีเสื้ออีกสักอัน และเพิ่มปินระย้าสีทองเข้าไปอีกสองอัน จะยิ่งสวยขึ้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ...”
พอคังเสว่มี่เห็นของที่อยู่ในมือนาง ก็ยืนขึ้นทันที แล้วพูดปฏิเสธอย่างนอบน้อมว่า
“แค่นี้ก็สวยมากแล้ว ที่ปักอยู่บนหัวข้าตอนนี้ข้าคิดว่ามันไม่หนักดี ถ้าใส่เงินทองเหล่านี้เข้าไปอีก ข้าคงจะได้ปวดคอเป็นแน่
ไปๆๆ องค์ชายหกคงรอนานแล้วแน่ๆ พวกเรารีบไปที่ห้องรับแขกกันเถอะ”
ความงามนั้นสำคัญ ความสบายมีค่ายิ่งกว่า
เดิมทีชวนหลันยังอยากแนะนำนางอีกนิด
แต่พอนึกถึงองค์ชายหกที่กำลังรออยู่ในห้องรับแขก จึงวางปิ่นกลัดมวยผมลงอย่างจําใจ แล้วรีบเดินไปข้างนอกกับคังเสว่มี่ทันที
หลังจากที่อ๋องคังเห็นคังเสว่มี่แต่งเนื้อแต่งตัว สายตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้นมาเล็กน้อยอย่างฉับ พลัน เขายืนขึ้นมาแล้วร้องว่า
“เสวมี่ มานี่เร็ว องค์ชายหกมารอเจ้าราวๆหนึ่งเค่อแล้วนะ”
คังเสว่มี่มองดูอ๋องคังเห็นได้ชัดว่าพยายามต้องการที่จะ ใกล้ชิดกับนางอย่างถึงที่สุด แต่สำหรับพ่อคนนี้ นางไม่มีทางสนิทสนมกันได้มาตั้งแต่ต้น นางพยักหน้าอย่างไม่เมินเฉย แล้วเดินเข้าไป
พอไป๋หลี่เหลียนเห็นคังเสว่มี่เดินเข้ามา ริมฝีปากก็อมยิ้ม แล้วจึงลุกขึ้นมาพูดว่า
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้ายังสามารถตื่นขึ้นมาได้จริงๆ ข้านึกว่าจะต้องรอเจ้าจนตะวันโด่งฟ้า เจ้าถึงจะออกมาพบหน้าข้าเสียอีก
น้ำเสียงของเขาใกล้ชิดแต่ไม่สนิทสนมมากนัก คิ้วที่สง่างามเหมือนต้นหลิวที่พลิ้วไหวในสายลมเดือนมีนาคม
แต่ไม่อาจซ่อนกิริยาท่าทางอันสูงส่งทั้งร่างกายได้
“หม่อมฉันรู้อยู่แล้วล่ะว่าฝ่าบาทจะต้องคิดแบบนี้ เช่นนั้นหม่อมฉันสมควรไปนอนอีกสักพักหนึ่ง แล้วค่อยออกมาก็แล้วกันนะเพคะ” คังเสว่มี่ยิ้มด้วยหน้าทะเล้น และกระพริบตาไปมา
“แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ข้าได้เจอเจ้าแล้ว
เจ้าจึงไม่อาจกลับไปได้อีกแล้ว”
ไป๋หลี่เหลียนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่แจ่มใสสักครู่หนึ่ง ลูกตาดำสะท้อนแสงส่องประกายงดงาม แล้วพูดว่า
"วันนี้อากาศไม่เลวเลย ข้าจะพาเจ้าไปเรียนที่ข้างทะเลสาบซิงเยว่ ที่นั่นทัศนียภาพดีมาก แดดก็ไม่แรง เป็นสถานที่ที่ดีอีกแห่งหนึ่งเลยล่ะ”
คังเสว่มี่พยักหน้า นางเองก็ไม่ชอบถูกขังให้อยู่ในตำหนักทุกวันเช่นกัน
นางปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสมากมายได้ ออกไปดูสถานการณ์ต่างๆในยุคสมัยนี้และประเทศนี้ ให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งสักหน่อย
นางหันไปมองอ๋องคัง ก็เห็นสายตาคู่นั้นของเขากำลังมองตัวเองด้วยความมุ่ง หวัง นางยิ้มเล็กน้อย แล้วถามว่า
“ท่านอ๋องคังเจ้าคะ ข้ากับองค์ชายหกขอออกไปข้างนอกสักหน่อยได้ไหมเจ้าคะ?”
ถึงแม้ว่าทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากเขา แต่เพราะว่าเขายืนอยู่ข้างๆ นางก็เลยยังต้องถามสักหน่อยตามขั้นตอน
ตั้งแต่บุตรสาวปรากฏตัว อ๋องคังก็ถูกเพิกเฉยไปโดยปริยาย เขาจึงมีความรู้สึกผิดหวังอยู่ภายในใจเล็กน้อย
เขาคิดเสมอว่าหลังจากที่บุตรสาวกลับมาเป็นปกติ
จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวเองขึ้นมาได้บ้าง แต่ทว่าตอนกินข้าวเสว่มี่ก็ไม่ได้นั่งกินข้าวด้วยกันกับเขา ไม่พูดจาและไม่ทำอะไรกับเขาเลย
เขาน่าจะผิดหวังต่อตัวเองมากเหลือเกิน
เขาเงยหน้ามองไปที่ใบหน้าที่สดใสของบุตรสาว ภายในสายตาแฝงไปด้วยความรู้สึกผิด จึงพูดอย่างอบอุ่นว่า
“เจ้าออกไปกับองค์ชายหก พ่อก็วางใจ เพียงแต่พออยู่ข้างนอกแล้ว เจ้าต้องระวังตัวด้วย อย่าไปดื่มสุราตามใจชอบ แล้วก็อย่าดื่มของที่คนอื่นยื่นให้นะ”“ข้ารู้ว่าควรจะต้องดูแลตัวเองอย่างไร ท่านอ๋องไม่ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ” คังเสว่มี่ยิ้มเล็กน้อย แล้วหันไปพูดกับไป๋หลี่เหลียนว่า “พวกเราไปกันเถอะ"พอไป๋หลี่เหลียนเห็นสีหน้าที่รู้สึกผิดของอ๋องคัง แล้วก็มองคังเสว่มี่ที่มีสีหน้าเมินเฉย ยิ้มแล้วยิ้มอีก โบกพัดหยกสีเขียวมรกตเบาๆแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องข้าขอตัวก่อน”อ๋องคังถอนหายใจอย่างเงียบๆ สายตาเศร้าสลดเล็กน้อย แล้วหันไปพูดกับไป๋หลี่เหลียนว่า “ขอรบกวนองค์ชายหกดูแลบุตรสาวของข้าด้วย ถ้าหากบุตรสาวของข้าล่วงเกินตรงไหน ได้โปรดมองว่านางอายุยังน้อย อย่าไปใส่ใจอะไรเลยนะ”ไป๋หลี่เหลียนยิ้มและพูดว่า“เสว่มี่นิสัยไร้เดียงสาและดื้อรั้น ข้าชอบเป็นอย่างมาก ท่านอ๋องไม่ต้องเป็นห่วง”“ไปกันเถอะ” ขณะที่มองทั้งสองคนก็ยังกำชับคำแล้วคำเล่า คังเสว่มี่จึงพูดเร่งรัดด้วยความทนรำคาญไม่ได้ว่า“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไปแล้วนะเจ้าคะ” หลังจากนั้นไป๋หลี่เหลียนก็จบการสนทนากับอ๋องคัง แล้วเดินเคียงกันออกไปข้างนอกกับคังเสว่มี่สองคนในขณะที่อ๋องคังกำลังมองทั้งสองคนพูดคูยกันอย่าง สนุกสนาน ก็ขมวดคิ้วทั้งสองข้างบนใบหน้าที่หล่อเหลา แล้วสายตาก็หยุดมองไปที่เงาด้านหลังของคังเสว่มี่ในทันที แล้วถอนหายใจยาวๆอาชียืนอยู่ข้างๆมาโดยตลอด กำลังมองดูเหตุการณ์ที่อยู่ด้านนี้ จึงเอ่ยถามออกมาว่า “ท่านอ๋องขอรับคุณหนูใหญ่ไปรู้จักมักคุ้นกับองค์ชายหกตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือขอรับ?”....
copy right hot novel pub