อาชียืนอยู่ข้างๆอ๋องคังมาโดยตลอด กำลังมองดูเหตุการณ์ที่อยู่ด้านนี้อย่างงุนงง ผ่านไปนานเขาจึงเอ่ยถามออกมาว่า
“ท่านอ๋องขอรับ คุณหนูใหญ่ไปรู้จักมักคุ้นกับองค์ชายหกตั้งแต่เมื่อไหร่หรือขอรับ?”
อ๋องคังถอนหายใจอีกครั้ง สายตาหรุบลงต่ำเล็กน้อย ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แล้วเอาแขนทั้งสองข้างไพล่หลังเอาไว้
“อาชี เจ้าอย่ามาถามข้อสงสัยนี้กับข้าเลย ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อสักครู่นี้ตอนที่องค์ชายหกเข้ามาบอกว่ามีนัดกับเสว่มี่ ข้ายังนึกว่าตัวเองฟังผิดอยู่เลย
ดูเหมือนว่าข้าคนนี้ที่เป็นพ่อของนาง คงไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้แล้วจริงๆ กระทั่งลูกสาวของตัวเองไปนัดกับองค์ชายหกไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ข้าก็ยังไม่รู้เลย
เจ้าว่าหลายปีมานี้ ข้ามัวแต่ขลุกอยู่กับความรู้สึกของตัวเองและละเลยนางเกินไปหรือไม่ จึงทำให้ตอนนี้นางมองข้าด้วยสีหน้าทางที่เย็นชาเช่นนี้”
พอนึกถึงอากัปกิริยาของบุตรสาวที่มีต่อตนเองเมื่อสักครู่นี้ หางตาของอ๋องคังก็มีรอยย่นเหมือนกับหางปลาปรากฏออกมาหลายเส้น
อาชีหรี่ตาแก่ๆลงเล็กน้อย แล้วพูดปลอบประโลมอ๋องคังว่า
“ท่านอ๋อง เวลานี้บรรดาคุณหนูต่างก็โตกันมากแล้ว เรื่องบางเรื่อง ไม่ใช่ว่าพ่อแม่จะสามารถไปยุ่งเกี่ยวอะไรได้ หลายปีมานี้ท่านอ๋องมีเรื่องที่เป็นกังวลเยอะแยะมากมาย ก็ต้องมีช่วงเวลาที่ต้องละเลยบ้างแหล่ะขอรับ"
“อืม ต้องมีสักวันหนึ่ง ต้องมีสักวันหนึ่ง..."
อ๋องคังขบเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นพยักหน้าขึ้นลง เหมือนกำลังพูดพึมพำกับตัวเองอยู่ แล้วก็เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หลังจากยืนอยู่พักหนึ่ง ก็หันไปถามว่า
“แล้ววี่จิ่นล่ะ อาการบาดเจ็บของเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
"เรียนท่านอ๋องตอนที่ ซื่อจื่ออยู่ในห้องเก็บฟืน คุณหนูใหญ่ก็ไปส่งข้าวส่งน้ำให้เขากินทุกวันไม่ได้ทรมานมากเกินไปนัก
เมื่อวานได้ยินคำสั่งของท่านอ๋องว่าให้ย้ายออกมาจาก ในห้องเก็บฟืนแล้ว ท่านหมอเคยบอกว่า ตอนนี้บาดแผลของเขาได้หายดีมากแล้ว แผลตกสะเก็ดแล้ว
แต่ยังไม่สามารถลงจากเตียงแล้วเดินไปไหนมาไหนได้ขอรับ” อาชีกล่าว
“วี่จิ่น เฮ้อ...เจ้าไปดูเขานะ อย่าให้เขาลงจากเตียงก่อน เขาไม่เคยเรียนวรยุทธ์ ถ้าขยับตัวเร็วเกินไป
ไม่แน่ว่าเอ็นและกระดูกของเขาอาจจะเจ็บเรื้อรังก็เป็นได้”
อ๋องคังอยากพูดกับคังวี่จิ่นให้หลายประโยค แต่คิดว่าพูดเยอะไปก็ไร้ค่า จึงถอดหายใจ เดินไปที่หน้าเก้าอี้ ถลกเสื้อคลุมแล้วนั่งลง
“คนหนึ่งเป็นห่วงมากเกินไป กลับไม่พอใจข้า อีกคนหนึ่งไม่ได้เป็นห่วง กลับเย็นชาต่อข้า อาชี เจ้าว่าพ่ออย่างข้าคนนี้ ทำผิดพลาดมากใช่หรือไม่?”
“ท่านอ๋อง จริงๆแล้วนิสัยส่วนตัวของซื่อจื่อถือว่าดีใช้ได้เลยนะขอรับ เพียงแต่รักสนุกไปนิด สำหรับคุณหนูใหญ่ นางยังจำเรื่องราวก่อนหน้านี้เหล่านั้นได้จนถึงตอนนี้ผ่านไปนานมากแล้ว
คงต้องมีสักวันที่นางจะได้รู้ว่าท่านอ๋องตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่งที่จะทำให้อนาคตของนางดีขึ้น ไม่ใช่มีคำพูดที่ว่า กาลเวลาพิสูจน์คนหรอกหรือ ท่านก็อย่าเสียใจไปเลย...”
ขณะที่เขากำลังพูด เด็กรับใช้ที่อยู่ข้างนอกก็เดินเข้ามา โก้งโค้งตัวลงคารวะแล้วพูดว่า “บ่าวเรียนท่านอ๋อง”
พอเห็นคนอื่นๆเดินเข้ามา อ๋องคังก็มีสีหน้าที่กลัดกลุ้มขึ้นมาอีก “มีเรื่องอะไร?"
“องค์รัชทายาทมาถึงหน้าตำหนักแล้ว บอกว่าต้องการพบคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ” เด็กรับใช้ตอบกลับด้วยความเคารพ
องค์รัชทายาทก็มาที่นี่อีกแล้วอย่างนั้นหรือ?
อ๋องคังกับอาชีมองหน้ากันและกัน
ทำไมวันนี้ที่ตำหนักถึงได้คึกคักเช่นนี้ ทำไมพอคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งก็มา และล้วนมาหาเสว่มี่ทั้งคู่อีก?
อ๋องคังยืนขึ้นมา แล้วเดินไปข้างหน้า เขาคิดอะไรบางอย่าง ตีสีหน้าขรึม หยุดเดินไปพักหนึ่ง แล้วกําชับว่า
“อาชี เจ้าไปบอกองค์รัชทายาทนะว่า เสว่มี่ไม่ได้อยู่ที่ตำหนักแล้ว"
อาชีมองดูอากัปกิริยาของอ๋องคัง เขาแค่กลัวว่าไม่อยากไปพบองค์รัชทายาทและไม่ พอใจที่องค์รัชทายาทกระทำต่อคุณหนูใหญ่ก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงพยักหน้า
“ถ้าองค์รัชทายาทถามขึ้นมาแน่ว่าคุณหนูใหญ่ไปที่ใด ล่ะขอรับ?”
“เช่นนั้นเจ้าก็บอกเขาไปว่า อยู่ที่ทะเลสาบซิงเย่วสิ” อ๋องคังโบกไม้โบกมือ วันนี้องค์รัชทายาทก็มาหาเสว่มี่ตั้งแต่รุ่งเช้า เหอะให้องค์รัชทายาทไปเห็นเองก็แล้วกัน ตอนนี้เสว่มี่ของเขาช่างเป็นที่สนใจจริงๆ แม้แต่องค์ชายหกก็มานัดแนะกันถึงหน้าประตู
จริงๆแล้วอาชีอยู่รับใช้เคียงข้างอ๋องคังมานานหลายปี แล้ว แค่มองตาก็รู้แล้วว่าอ๋องคังคิดอะไรอยู่ และภายในใจของเขาก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน
เมื่อสักครู่นี้พอเห็นองค์ชายหกกับคุณหนูใหญ่ยืนอยู่ด้วยกัน ช่างสง่างาม เสริมกันได้อย่างเด่นชัด มองแล้วรู้สึกสบายใจยิ่งนัก
ให้องค์รัชทายาทไปเห็นเองให้ชัดเจนไปเลยก็ดี คนคนนี้น่ะนะ
ไม่อาจทะนุถนอมเอาไว้ให้ดีๆอย่างรู้คุณค่าได้อย่าง ง่ายดายหรอก
เขาพูดอย่างเคารพนอบน้อมว่า “ขอรับนายท่าน ข้าจะไปบอกองค์รัชทายาทให้ทรงทราบ"
สีสันของฤดูร้อนที่สว่างไสวและงดงาม
สถานที่ที่มีทั้งน้ำและต้นไม้นั้นมีสีสันสวยงามประดุจดั่งภาพวาด
ทำให้ทิวทัศน์ของทะเลสาบซิงเย่วก็ยิ่งดูสวยงามขึ้นไปอีก
รอบๆทะเลสาบซิงเย่วมีต้นสนสูงใหญ่เรียงสลับซับซ้อนกัน บดบังพระอาทิตย์ที่ร้อนแผดเผาอยู่ด้านนอกเอาไว้
เหลือไว้เพียงร่มเงาสีเขียวสดชื่น กิ่งยาวๆของต้นหลิวชนิดหนึ่งที่อยู่ข้างทะเลสาบก็ย้อยลง อยู่ในระลอกคลื่นของน้ำสีเขียวมรกต และสั่นไหวอยู่ในสายลมที่เย็นสบายคังเสว่มี่ลงมาจากรถม้า สายลมที่เย็นสบายปะทะเข้ามาที่หน้าทำให้ร่างกายของนางรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย คังเสว่มี่ทอดมองไปที่ทะเลสาบกว้างขวาง นางหายใจสูดอากาศที่สดใหม่เข้าไปลึกๆหนึ่งครั้ง แล้วหันมาพูดกับไป๋หลี่เหลียนว่า “ที่นี่ไม่เลวเลยจริงๆ ยืนอยู่ตรงนี้ ไม่รู้สึกได้ถึงอากาศที่ร้อนอบอ้าวของฤดูร้อนแม้แต่น้อย”ไป๋หลี่เหลียนฉีกยิ้ม พริ้มดวงตาดอกท้อครึ่งหนึ่ง แล้วพูดด้วยเสียงกังวานใสว่า “ก็เพราะว่ามันสบายไงข้าถึงได้พาเจ้ามา มิเช่นนั้นภายใต้แสงแดดที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้ ข้าสอนวรยุทธ์ให้เจ้า เกรงว่าเจ้าจะเรียนได้ไม่นานนัก เหงื่อหอมๆก็ไหลหยดย้อยกันพอดี หากว่าไปฝึกที่อื่นเพียงแค่เจ้าร้องตะโกนเสียงดังก็ทำให้เหนื่อยแล้ว”“ไม่เลวเลยนี่นา เจ้าคิดได้รอบครอบดีมาก แต่ว่า ที่บอกว่ากลัวเหงื่อหอมๆไหลหยดย้อยคงไม่ใช่แค่ข้าคนเดียว ยังมีเจ้าด้วยอีกคนกระมัง” คังเสว่มี่ยิ้มบางๆ แม้แต่ในฤดูร้อนก็ต้องแช่น้ำผสมน้ำแข็ง ไป๋หลี่เหลียนเป็นพวกที่ชอบเสวยสุขรักสบายจริงๆ“ดูเหมือนว่าเสวมี่ เจ้าเข้าใจข้าดีจริงๆเลยนะ” ไป๋หลี่เหลียนแกล้งทำเป็นถอนหายใจออกมา
copy right hot novel pub