โหมดมืด
ภาษา arrow_icon

หลงรักทนายคนเลว

บทที่237 ตาบอด

บทที่237 ตาบอด

“ง่ายๆอย่างนี้เลยหรอ” อวี๋ซือซือไม่เชื่อ ถ้าหากว่านัดฉูเจ๋อหยางได้ง่ายขนาดนั้น จะมีข่าวลือได้อย่างไรว่านัดฉูเจ๋อหยางยากยิ่งกว่าปีนขึ้นท้องฟ้า

ตอนนี้ฉูเจ๋อหยางไม่ได้เป็นทนายความกระจอกๆเหมือนเมื่อก่อน ทำไมถึงเนื้อหอมในสายตาคนอื่นกันนัก จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่เข้าใจ ฉูเจ๋อหยางจับพลัดจับผลูมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร

เฉกเช่นไข่มุกยามค่ำคืน จับล้างฝุ่นออกหน่อยก็เปล่งประกายชวนให้คนหลงใหล

กำแพงของฉูเจ๋อหยางนั้นลึกล้ำยิ่งกว่าอะไร ปิดซ่อนอยู่นานเพิ่งจะเผยออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ว่าลึกๆแล้วเป็นเช่นไร คาดว่าไม่มีทางที่จะเปิดเผยให้รู้ทั้งหมดหรอก

รุ่ยรุ่ยเห็นอวี๋ซือซือพอได้ยินคำพูดนี้ก็หยุดนิ่งกะทันหัน เขาก็เริ่มคิดฟุ้งซ่าน อดไม่ได้ที่จะยื่นมือโบกไปมาตรงหน้าเธออยู่หลายครั้ง “คุณป้าคิดอะไรอยู่ครับ”

อวี๋ซือซือเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองเหม่อลอยจึงรีบรวบรวมสติโดยไวและแสร้งทำว่าไม่เป็นไร “เหอเหอ ไม่เป็นอะไรนี่ รุ่ยรุ่ยเธอมีวิธีไม่ใช่รึ บอกป้ามาสิว่ายังไง”

“ก็ง่ายๆ คราวที่แล้วผมโทรหาเขา เขาบอกว่าถ้าวันหลังมีเรืองอะไรบอกเขาได้” รุ่ยรุ่ยกระพริบตาอย่างเดียงสา พร้อมตอบอย่างเป็นธรรมชาติ

อวี๋ซือซือเม้มปากไว้ มันไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาเป็นพ่อลูกกัน สวรรค์คงดลบันดาลให้มีสิ่งที่หักห้ามใจไม่ได้ เธอเปิดประตูรถออก และวางเขาลงตรงที่นั่งผู้โดยสาร “อื้อ ได้ เธอโทร จะใช้โทรศัพท์ป้าไหม”

รุ่ยรุ่ยใช้สายตาที่บ่งบอกว่า “คุณป้านี่โง่รึเปล่า” แบบน่ารักๆมองดูอวี๋ซือซือ “คุณป้า ผมก็มีโทรศัพท์”

“...” อวี๋ซือซือไม่ได้ปฏิเสธอะไร เธอส่งสายตาแสดงความเจ็บปวดให้กับรุ่ยรุ่ย หลังจากนั้นก็ปิดประตูลง ไม่ได้ เธอต้องตั้งสติข้างนอกสักพักก่อน ไม่อย่างนั้นความดันคงจะพุ่งขึ้นถึง180

รุ่ยรุ่ยยักไหล่อย่างไม่เข้าใจ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากเป้ของเขา ค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ของฉูเจ๋อหยาง ปรับเบาะนั่งในรถให้เข้าที่ จากนั้นก็รอเสียงรอสาย

---ตู๊ด---ตู๊ด---ตู๊ด

โทรศัพท์ดังอยู่นานกว่าจะมีคนรับ

“ปู้ติงรึ” เสียงลุ่มลึกของฉูเจ๋อหยางดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ ที่จริงแล้วเมื่อฉูเจ๋อหยางเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาก็รู้สึกแปลกใจ มีภาพเจ้าน่ารักตัวน้อยปรากฏขึ้นในหัวสมองทันที

ใจเขารู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างเมื่อนึกถึงว่าพ่อแม่ของเด็กน้อยคนนี้คงจะทะเลาะกัน ทำให้เขาน้อยใจอีกรึเปล่า เขารอจนตั้งสติได้จึงรับสาย

“ลุงฉูตอนนี้คุณลุงว่างรึเปล่าครับ” รุ่ยรุ่ยถามด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน

ฉูเจ๋อหยางจ้องเอกสารสำคัญในมือ พลางยื่นมือออกไปปิดเอาไว้ จากนั้นก็ตอบนิ่งๆ “อื้อ ว่างอยู่”

“ถ้าอย่างนั้นเราเจอกันได้ไหมครับ ที่เคเอฟซีในเมืองได้รึเปล่า” รุ่ยรุ่ยปากพูดอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่มือน้อยๆนั้นกำโทรศัพท์ด้วยความประหม่า เขากลัวว่าฉูเจ๋อหยางจะปฏิเสธ

ฉูเจ๋อหยางที่ปลายสายตอบรับในทันที แต่กลับพูดว่า “หนูอยู่ไหน ลุงจะไปรับ”

เจอกันน่ะได้ แต่เขาต้องไปรับ เจ้าเด็กนั่นเพิ่งจะห้าขวบเองไม่ใช่หรอ ออกมาคนเดียวเดี๋ยวเกิดเป็นอะไรไป

“ลุงฉูลุงไม่ต้องมาหรอกครับ ผมเรียกแท๊กซี่ไปได้ ไว้ถึงแล้วค่อยคุยกันนะครับ ผมไม่มีสัญญาณแล้ว เจอกันครับลุง” รุ่ยรุ่ยไม่รอให้ฉูเจ๋อหยางปฏิเสธ เขารีบวางสายทันที ก่อนจะสูดลมหายใจลึกๆและจับที่หน้าอกตัวเอง

พ่อรับปากว่าจะมาเจอกันแล้ว

รุ่ยรุ่ยนึกถึงที่ฉูเจ๋อหยางบอกว่าจะมารับเขา เรียวปากสีแดงก็อดที่จะยกขึ้นไม่ได้

พอดีกับที่อวี๋ซือซือเปิดประตูรถเข้ามา และเห็นรอยยิ้มบนหน้าเขา เธอโน้มตัวหาเขาและถามอย่างเจ้าเล่ห์ “ที่รัก มีความสุขเรื่องอะไร แบ่งให้ป้าสุขบ้างสิ”

รุ่ยรุ่ยรีบหุบยิ้มทันที พร้อมกับหลบสายตาจากอวี๋ซือซือ และพูดอย่างขึงขัง “คุณป้า เขารับปากจะมาเจอแล้ว คุณป้าช่วยไปส่งผมที่เคเอฟซีในเมืองหน่อยครับ”

“ไม่ให้ป้าอยู่เป็นเพื่อนหรอ” อวี๋ซือซือคิดแล้วก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ถ้าหากว่าเธออยู่ด้วย ไม่รู้ว่าฉูเจ๋อหยางจะถามอะไรบ้าง

รุ่ยรุ่ยดึงวิกออกมาจากเป้และสวมลงบนศีรษะ จากนั้นก็ส่ายหัว “ไม่ต้องครับ ผมอยู่ไม่นานหรอก”

อวี๋ซือซือไม่พูดอะไรต่อ เธอยื่นมือช่วยจัดแต่งทรงผมให้เขา จากนั้นจึงนึกขึ้นได้ถึงเรื่องสำคัญ “รุ่ยรุ่ย เราต้องกลับไปกันก่อน วันนี้ป้าไม่ได้เอากระเป๋าเครื่องสำอางมา”

วันนี้เธอมาโรงพยาบาล จึงไม่ได้สนใจที่จะแต่งหน้า

“ไม่เป็นไรครับป้า ผมเอามา” รุ่ยรุ่ยเหมือนมีเวทมนตร์ เขาหยิบดินสอเขียนคิ้วออกมาจากกระเป๋า

อวี๋ซือซือไม่ได้รีบรับดินสอเขียนคิ้วและตลับแป้งแต่เธอกลับคว้าเอากระเป๋าเป้ของเจ้าตัวน้อยมาเขย่า ยังมีของบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น อย่างอื่นก็ไม่มีแล้ว เธอพูดอย่างเหลือเชื่อ “รุ่ยรุ่ยกระเป๋าหนูขยายได้รึเปล่า”

มันช่างน่าประหลาดใจที่สามารถใส่ของจุกจิกได้เยอะแยะขนาดนี้ และที่สำคัญที่สุดก็คือเขาอายุน้อยแค่นี้ยังรู้จักดินสอเขียนคิ้วและตลับแป้ง ส่วนเธอเพิ่งจะมารู้จักก็เมื่อตอนอายุยี่สิบกว่านี่เอง

“ไม่นะ กระเป๋ามันอ่อน ใส่ได้เยอะ จัดดีๆก็ใส่เข้าไปได้” รุ่ยรุ่ยอธิบายอย่างสมเหตุสมผล

จู่ๆอวี๋ซือซือก็นึกถึงนิสัยวางของเกะกะมักง่ายของเธอขึ้นมา เธอลูบจมูกอย่างเขินๆ ช่างไม่เหมือนเด็กสี่ขวบเลยจริงๆ พูดแล้วเธอก็รู้สึกละอายใจ

“อื้ออื้อ รุ่ยรุ่ยเด็กดีจริงๆ”

อวี๋ซือซือช่วยลงแป้งให้รุ่ยรุ่ย และเติมกละไฝให้ ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพอใจ “อา ปลอดภัยหายห่วง”

“คุณป้าพวกเรารีบหน่อยดีกว่า พ่อน่าจะใกล้ถึงแล้ว” รุ่ยรุ่ยค่อนข้างเคร่งครัดเรื่องเวลา เขาจำได้ว่าครั้งก่อนที่เขาไปหาพ่อ จำได้ว่าเคเอฟซีอยู่ใกล้ออฟฟิตของเขามาก“ทราบแล้ว ทราบแล้ว” อวี๋ซือซือจำต้องสตาร์ทรถและปล่อยให้เจ้าตัวน้อยคาดเข็มขัดนิรภัยด้วยตัวเองโรงพยาบาลอยู่ไม่ห่างจากตัวเมือง ต้องผ่านแค่หนึ่งไฟแดงเท่านั้น แต่ว่าขับไปก็น่าจะต้องใช้ราวยี่สิบนาทีอวี๋ซือซือไม่กล้าขับรถเข้าไปใกล้เกินไป เขาส่งรุ่ยรุ่ยลงที่หัวมุมถนนและกำชับเขาให้ระวังฝูงชน ถ้ามีเรื่องอะไรให้รีบโทรหาเธอ เธอจะไปเดินเล่นอยู่แถวนั้นรุ่ยรุ่ยจำขึ้นใจ เขาปลดเข็มขัดนิรภัยด้วยตัวเอง กระโดดลงจากรถพร้อมโบกมือน้อยๆกล่าวลา จากนั้นก็สะพายกระเป๋าขึ้นหลัง เดินไปยังสถานที่นัดหมายอวี๋ซือซือมองตามเงาหลังเขาไป เธอรู้สึกแปลกๆ เฮ่อ ถ้าหากว่าฉูเจ๋อหยางไม่ได้คบกันหนานฉิง เธอยังจะพอช่วยให้พวกเขาได้กลับมาอยู่ด้วยกันได้ รุ่ยรุ่ยจะได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์นั่นไม่ใช่มีความสุขกันถ้วนหน้าหรอ ไม่รู้ตาฉูเจ๋อหยางเป็นโรคประสาทหรือยังไง ทำไมจะต้องไปคบกับผู้หญิงหน้าซื่อใจคดนั่นทั้งที่หัวสมองก็ฉลาด แต่ทำไมตาบอดได้ขนาดนี้

copy right hot novel pub

แสดงความคิดเห็น / รายงานปัญหาเว็บไซต์