บทที่ 282 นี่คือที่อยู่ของเธอ
“เป็นอะไร มองอย่างกับผมเป็นหน่วยกู้ภัยอย่างนั้น” ถังฉีตงถาม
หลินไห่ปาดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมกับพูดพร้อมรอยยิ้มอันขมขื่น “เรื่องมันยาว ไม่รู้ว่าช่วงนี้ทนายฉูของเราร่างกายไม่สบายตรงไหนรึเปล่า ทำเอาพวกเราพากันเป็นห่วง เลยอยากจะให้พี่ช่วยถามดูให้หน่อยครับ”
เขาทำเป็นพูดถึงเรื่องสุขภาพร่างกาย
พอถังฉีตงได้ยินก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาอดขำไม่ได้ก่อนจะพูดว่า “พวกคุณทนรับแรงกดดันกันไม่ไหวแล้วล่ะสิ”
หลินไห่พยักหน้าก่อนจะส่ายหัวอีกครั้ง จะบอกว่าไม่สามารถรับแรงกดดันได้อย่างไร ถ้าหากปล่อยให้ปีศาจด้านในรู้เข้า เขาคงไม่ได้ทำงานเป็นเลขาอีกต่อไปแล้วใช่ไหม “พี่ตงล้อเล่นใช่ไหม ผมต้องทนต่อแรงกดดันได้แน่นอน นี่เพราะเป็นห่วงสภาพของทนายฉู”
ถังฉีตงตบไหล่หลินไห่พร้อมแสร้งทำเป็นพูดอย่างขึงขัง “ที่จริงแล้วอาการของทนายฉูนั้นรักษาง่ายมาก”
หลินไห่ทำท่าเงี่ยหูรอฟังคำชี้นำจากถังฉีตง
“ทนายฉูของพวกคุณธาตุลมแปรปรวน” ถังฉีตงพูดจบก็ไม่สนใจหลินไห่ที่ยืนอึ้งอยู่กับที่ เขาผลักประตูออฟฟิตเปิดออกและเดินตรงเข้าไป
“ธาตุลมแปรปรวน ธาตุลมแปรปรวน!” หลินไห่เข้าใจความนัยของคำพูดถังฉีตง เขาแทบทรุด พวกเขาคิดว่าทนายฉูของพวกเขากำลังเผชิญเรื่องคอขาดบาดตาย ที่แท้ก็เพราะไม่มีสาวๆนี่เอง
แต่ นี่ช่างไม่สมเหตุสมผล ถ้าเขาไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์ แม่คุณหนูตระกูลหนานนั่นก็มาอยู่ทุกวัน ในออฟฟิตก็มีห้องรับรอง ถ้าอยากจะเล่นจ้ำจี้กับก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
แค่ว่าทุกครั้งที่คุณหนูหนานมา เจ้านายก็คอยแต่จะหาทางบ่ายเบี่ยง
คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจจริงๆ
เมื่อถังฉีตงเข้าไปในห้องก็เห็นฉูเจ๋อหยางกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หนังอันหรูหราอย่างสง่างามกำลังตรวจตราดูเอกสารอยู่ เขาดึงเก้าอี้เข้ามานั่งตรงหน้าโต๊ะ ยืดขาออก เอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกล่าวว่า “อาเจ๋อ คุณรู้รึเปล่าว่าลูกน้องคุณพากันกลัวคุณกันหัวหดหมดแล้ว”
ฉูเจ๋อหยางไม่ขยับแม้แต่ขนคิ้ว เขามองดูเอกสารโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ราวกับว่าเรื่องทุกอย่างในโลกนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขา
ถังฉีตงไม่สนใจว่าฉูเจ๋อหยางจะฟังเข้าหูหรือไม่ เขากระดกลิ้นแล้วพูดว่า “คุณไม่รู้อะไรตอนผมเข้ามาที่นี่ตาพวกเขานี่เปล่งประกาย จ้องมองผมอย่างกับทนไม่ไหวแล้ว”
ยังไม่มีเสียงตอบรับใด เขาเงยหน้าขึ้นค่อยๆมองเห็นว่าเพื่อนรักมาหา เมื่อรู้ว่าเพื่อนไม่ได้มาด้วยเรื่องอะไรเป็นการเป็นงาน เขาจึงเปลี่ยนเอกสารฉบับใหม่ขึ้นมาดู ท่าทางจะยุ่งมาก
“อาเจ๋อ…”
ฉูเจ๋อหยางถูกรบกวนสมาธิ เขาวางปากกาในมือลงแล้วมองไปที่เพื่อนรักด้วยนัยน์ตาดำขลับอันเย็นชา เสียงเย็นยะเยือกไม่มีร่องรอยความอบอุ่นพูดขึ้น “ถังฉีตง คุณขี้เม้าท์แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
ถังฉีตงไม่ได้ตกใจความเย็นชาของเพื่อน เขาอมยิ้มและจ้องไปยังเพื่อน “หรอ ผมแค่บอกความคิดเห็นของตัวเองออกไป”
“ความคิดเห็นใคร ถึงให้คุณเข้ามาพูดกับผม” ฉูเจ๋อหยางละสายตากลับไปพร้อมพูดเบาๆ
พูดกับเขารึ คนข้างนอกกลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปแล้ว ถังฉีตงมองดูโต๊ะทำงานที่เต็มจนล้นแทบจะทับเพื่อนรักอยู่แล้ว นี่เป็นโหมดบ้างานสินะ “อาเจ๋อ ผมทำเงินให้คุณไม่พอหรือยังไง คุณถึงต้องหักโหมขนาดนี้”
ฉูเจ๋อหยางพูดโดยไม่เงยหน้าสักนิด “ไม่มีเรื่องอะไรก็ออกไป”
“ผมมาแน่นอนว่าต้องมีอะไร” ถังฉีตงกรอกตาไปมา ซ่อนความเขินอายไว้ในดวงตา พร้อมหยิบโน้ตออกจากกระเป๋ากางเกงและวางตรงหน้าเขา พร้อมพูดอย่างเอาแต่ใจ “อย่าหาว่าผมเป็นน้องชายที่ไร้มนุษยธรรม ผมรู้มาแค่นี้แหละ”
เมื่อวานนี้เขาเป็นนกสองหัวล้วงความลับถามที่อยู่นี้มาจากหญิงคนรัก
ถึงแม้จะเป็นแค่ชื่อเมืองแต่สำหรับเพื่อนเขาแล้วมันมีความหมายมาก
ฉูเจ๋อหยางปรายตามองโน้ตที่แทบจะดูเหมือนเศษขยะ จากนั้นเขาก็หันศีรษะกลับไปทำงานต่อ
“....” ถังฉีตงเห็นการเคลื่อนไหวเช่นนั้นของฉูเจ๋อหยาง ทุกอย่างที่คิดจะพูดติดชะงักอยู่ที่ลำคอ เขาคิดว่าจะได้รับคำขอบคุณสักนิด เขาเตรียมแม้กระทั่งจะพูดว่าไม่ต้องขอบใจอยู่แล้วเชียว
ยอมแพ้แล้วจริงๆหรอ
“อาเจ๋อ เรื่องเข้าใจผิดระหว่างพวกคุณเป็นเพราะคุณเริ่มเอาไว้ งานนั้นสำคัญแล้วหล่อนไม่สำคัญหรือไง”
อาเจ๋อเสียสละเพื่อเวยเวย เขาเห็นอยู่ชัดๆ เขาไม่สามารถทนเห็นคนที่รักกันเดินไปถึงจุดจบทางเพราะความเข้าใจผิดโง่ๆ
สายตาฉูเจ๋อหยางหรี่ลงถ้าหากถังฉีตงไม่ใช่เพื่อนของตนล่ะก็ เขาพูดด้วยเสียงผ่อนคลาย “ไม่ต้องยุ่งเรื่องของคนอื่น”
“เรื่องนี้ผมรู้ ผมอยู่กับเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ ผมก็ไม่ได้พูดเรื่องอะไรของคุณ แค่นี้ไม่พอหรือไง” ถังฉีตงรู้สึกภูมิใจในความสามารถของตนเอง “สิ่งที่ผู้หญิงต้องการไม่ใช่สิ่งๆเดียว เรื่องนั้นเราวางแผนคนละอย่างกัน คุณเสียสละตัวเองแบบนี้ มันดีแล้วจริงๆหรอ”
เพื่อที่จะปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่สนใจว่าผู้หญิงที่ตัวเองรักจะเสียใจอย่างไร
ฉูเจ๋อหยางจับปลายปากกาได้ยังไม่ถึงหนึ่งวินาที กำลังจะเลื่อนเขียนไปบนสำเนาเอกสาร แต่ก็ต้องหยุดชะงักลงครึ่งวินาที ราวกับเป็นภาพลวงตา เขาพูดขึ้นด้วยเสียงแหบห้าว “ถังฉีตง ผมไม่อยากได้ยินคุณพูดเรื่องนี้อีก”
คนอื่นก็โมโหเป็นเหมือนกันนะ ถึงฉีตงทิ้งท้ายไว้อย่างไม่สบอารมณ์ "อย่ามาสำนึกเสียใจภายหลังก็แล้วกัน"
เสียงฝีเท้าค่อยๆไกลออกไป จนกระทั่งประตูใหญ่ถูกเปิดออก การเคลื่อนไหวที่มือของฉูเจ๋อหยางจึงหยุดลง นัยน์ตาเริ่มฝ้าฟาง
แสงแดดยามบ่ายส่องไปยังป้ายชื่อที่ตั้งอยู่ ริมฝีปากเย็นยะเยือกเผยอออกอีกครั้ง ทันใดนั้นนิ้วทั้งห้าก็กำแน่น ครู่หนึ่งก็เกาะแน่นที่โต๊ะไม้เนื้อแข็งทำให้เกิดเสียงดังกรอบเอกสารบนโต๊ะร่วงหล่นลงหลายแผ่น ปลิวตกลงบนพื้น มีเพียงนามบัตรเท่านั้นที่เกาะหนึบอยู่ฉูเจ๋อหยางเคยชินแล้ว สี่ปีมานี้ความอ่อนโยนของเป้ยฉ่ายเวยขัดเกลานิสัยของเขาให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เขารู้สึกว่าตัวเองอธิบายไม่ได้ เธอน่าจะเข้าใจ ควรที่จะเข้าใจแต่เป็นเพราะว่าความมั่นใจนี้ทำให้ฉูเจ๋อหยางประมาทและเมื่อหันหลังกลับจึงได้พบว่าเขาได้สูญเสียผู้หญิงโง่ๆที่ห่วงใยเขาเสมอไปแล้วคนหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาซึ่งหยิ่งผยอง ไม่ว่าจะทำเรื่องผิดพลาดอะไรก็แล้วแต่ เขาก็ไม่เคยที่จะยอมรับผิดที่จริงแล้วเขาต้องการให้บทเรียนผู้หญิงคนนั้นเล็กๆน้อยๆเพื่อให้หล่อนว่าง่ายและกลับมาอยู่เคียงข้างเขา ไม่คิดเลยว่าเธอจะโกรธจนต้องอำลา หนีเขาไปกับชายอื่นแล้วจริงๆจะให้เขาไม่โมโหได้อย่างไร ไม่โกรธ ให้เขารักษาหน้าไว้ได้อย่างไร ใจเขาทนไม่ไหว ได้แต่ทำเป็นฝืนอยู่อย่างนี้หลายวันนี้ฉูเจ๋อหยางใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เรียกได้ว่าลำบากมากสายตาเย็นชาตกลงบนกองเอกสารสำคัญอีกครั้ง นาฬิกาแขวนบนกำแพงค่อยๆเดินไป เขากลับยืนนิ่งไม่ไหวติงดั่งภูเขา ทันใดนั้นเขาก็ย่อตัวลงหยิบเอกสารเหล่านั้นปาทิ้งไปด้านข้าง กระดาษโน้ตแผ่นนั้นวางแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
copy right hot novel pub