บทที่462 ไม่ต้องกลัวผมอยู่นี่
เป้ยฉ่ายเวยหูดับราวกับว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แขนขากวัดแกว่ง เสียงกรีดร้องคมชัด เต็มไปด้วยความหวาดผวา
ราวกับว่าทำอย่างที่ว่ามาทั้งหมดแล้วจะทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
ขาหนึ่งเตะไปที่ชายร่างสูงคนนั้น เฮียเกานั่นก็หน้าดำไป “คนสวย ในเมื่อพูดดีดีด้วยแล้วไม่ยอมฟัง งั้นอย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจแล้วกันนะ!”
และแล้ว ขณะที่หลายคนยังไม่ทันได้กะพริบตา ชายสองคนด้านหน้าก็ก้าวไปดึงแขนเธอเอาไว้
เฮียเกาอมยิ้ม เขาเอื้อมมือออกไป ก่อนจะฉีกเสื้อผ้าเธอออกเป็นชิ้นๆ
“อ้า...ปล่อยฉันนะ…” เป้ยฉ่ายเวยตกใจ เธอยิ่งต่อสู้ดิ้นรนรุนแรงยิ่งกว่าเดิมอีก
ไม่รู้เอาพละกำลังมาจากไหน ทันใดนั้นเธอก็มีแรงผละตัวออกจากชายร่างใหญ่ทั้งสอง จากนั้นก็เตะไปอย่างบ้าคลั่ง
ชายฟันเหลืองแบกเครื่องจักรเดินเข้ามา เมื่อเห็นฉากนั้น เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นในทันใด “ทำไมยังไม่เสร็จอีก พวกมึงผู้ชายตั้งหลายคนจัดการผู้หญิงคนเดียวยังทำไม่ได้อีก ไร้น้ำยาชิบหาย!”
“รีบๆเข้าหน่อย ทางฝั่งนั้นเร่งมาแล้ว” ฟันเหลืองขมวดคิ้วพร้อมเปิดเครื่องจักร
“วางใจเถอะ!” เฮียเกาพยักหน้าไปทางเป้ยฉ่ายเวย “คนสวย สู้ไปก็ไร้ประโยชน์ วันนี้เฮียจะให้คนสวยได้ลิ้มลองฝีมือของเฮีย”
พูดจบ เขาก็พุ่งเข้าหาเป้ยฉ่ายเวย
น้ำตาเป้ยฉ่ายเวยไหลทะลักออกมา
สัมผัสอันน่าขยะแขยงโดนไปที่ผิวหนัง เหมือนกับงูซึ่งคลานออกจากถ้ำซึ่งเย็นและชื้น ตามมาด้วยกลิ่นเหม็นโฉ่วจนแทบทำให้หายใจไม่ออก ทำเอาคนช็อคไป
สายตาของเธอว่างเปล่า ณ ตอนนี้สมองเธอมีแต่ความว่างเปล่า
เสื้อผ้าบนตัวหล่นลงมาชิ้นหนึ่ง ไม่นานนักก็เหลือแค่เพียงเสื้อกล้ามบางๆ ขนอ่อนที่แขนลุกตั้งชัน
ใจเป้ยฉ่ายเวยรู้สึกสิ้นหวัง
เมื่อเฮียเกายื่นมือออกไปจับหน้าอกของเธอ เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้นมา
“มึงเป็นใคร” เจ้าฟันเหลืองตะโกนเสียงดังลั่น
ฉูเจ๋อหยางเต็มไปด้วยพลังของการฆ่า เขาก้าวไปอย่างดุเดือดเตรียมที่จะเตะเฮียเกา คนอื่นๆพากันมองไปอย่างระแวดระวัง
เกือบจะในทันใด พวกเขาก็เข้ามาล้อมรอบฉูเจ๋อหยางเอาไว้ตามที่ฝึกฝนกันมา
ฟันเหลืองหรี่ตาเล็กลง ฉูเจ๋อหยางครู่เดียวก็แสดงให้เห็นถึงพละกำลังอันแข็งแกร่ง
ครู่หนึ่ง “ขอถามหน่อยว่าท่านนี้โผล่มาทางไหน แล้วนี่คิดจะทำอะไร”
สายตาฉูเจ๋อหยางเห็นเป้ยฉ่ายเวยยืนตาลอยแน่นิ่งเหมือนกับท่อนไม้ ใจเขาเจ็บแปลบ
เขาไม่สนใจสิ่งที่เจ้าฟันเหลืองพูด และพุ่งตรงไปยังเป้ยฉ่ายเวย
ฟันเหลืองเหลืองส่งสายตา คนทั้งคู่ก็รีบมายืนอยู่ข้างกันตรงหน้าเขา
“ไสหัวไป!” คำสองคำนั้นเหมือนถูกบีบเคล้นออกมาจากซอกฟัน เป็นการประกาศให้ทราบว่าความอดทนของเขากำลังจะหมดลง
“โทษนะน้องชาย มึงกับแม่สาวนี่เกี่ยวข้องเป็นอะไรกัน มึงต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งก่อนนะว่ามึงมีแค่ตัวคนเดียว แต่ว่าพวกกูนี่…” ฟันเหลืองกล่าวอย่างได้ใจพร้อมเดินเข้าไป เขาวางฝ่ามือลงบนไหล่ของฉูเจ๋อหยางพร้อมตบเบาๆ
ฉูเจ๋อหยางขยับแขน ก่อนที่ใครจะเห็นการเคลื่อนไหวของเขาอย่างชัดเจน ฟันเหลืองก็ลงไปกองอยู่ที่พื้นเรียบร้อยแล้ว
ฟันเหลืองแยกเขี้ยวยิ้มกว้าง “สุดยอด พวกมึงยังมัวยืนทำอะไรกันอยู่ มาช่วยกู...สิ มีอะไรค่อยๆพูด ค่อยๆว่ากัน..”
ปากกระบอกสีดำพุ่งตรงไปยังหัวของฟันเหลือง ดวงตาคู่นั้นของฉูเจ๋อหยางเย็นราวน้ำแข็ง เหมือนกับดาบมรณะ ให้คนได้ยินสารและกลิ่นอายของความตาย
ขณะนี้ ที่ด้านนอกลานจอดรถที่ถูกทิ้งร้าง มีเสียงคำรามของเครื่องยนต์กำลังเคลื่อนเข้ามา
“พี่ใหญ่!” หลายคนลงมาจากรถ ปาดเหงื่อบนหน้าผากของเขาก่อนจะเดินไปหาฉูเจ๋อหยาง
ฝีมือการขับรถของพี่ใหญ่ยิ่งนานวันยิ่งร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ
ทิ้งท้ายพวกเขาซะลิบลับเลย
เมื่อฟันเหลืองเห็นเช่นนี้ มันรู้ตัวว่ามันซวยแล้ว แกว่งเท้าหาเสี้ยนแท้ๆ
เรื่องที่เหลือไม่ต้องกวนใจฉูเจ๋อหยาง ทีมของเขาพาคนไปด้วย ห้าคนเสร็จไปแล้วสามคนเหลือสองคน กระทั่งทั้งหมดถูกรวบตัวเอาไว้
คนเหล่านั้นเงียบกริบและไม่มีใครสนใจเป้ยฉ่ายเวยเลย
ฉูเจ๋อหยางขยับกราม ก่อนจะเดินถึงข้างกายเธอ
เป้ยฉ่ายเวยยังคงช็อคอยู่ ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณล่องลอยไปอยู่ไหน
ท่าทีเหม่อลอยเช่นนั้นยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดและใจหาย
เขาก้าวไปกอดคนเอาไว้ ก่อนจะพูดเสียงทุ้มต่ำ “ขอโทษ ที่ผมมาช้า”
เธอนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ทั้งตัวเป็นเหมือนตุ๊กตาที่ไร้วิญญาณ
ฉูเจ๋อหยางใช้เสื้อคลุมห่อตัวคนเอาไว้ เขาอุ้มเธอขึ้นมาก่อนจะเดินไปที่รถ
คนขับด้านหน้าปิดประตูให้อย่างรู้งานไม่ต้องพูดอะไร
ฉูเจ๋อหยางเปิดฉากกั้นระหว่างห้องโดยสารด้านหน้าและด้านหลังออก อุ้มคนไว้ในอ้อมแขน และกระซิบที่ข้างหูเธอ
“เป้ยฉ่ายเวย ผมมาช้า ผมขอโทษ”
“ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว”
“ฟื้นสิ ตั้งสติหน่อยนะ”
“เป้ยฉ่ายเวย คุณลืมรุ่ยรุ่ยแล้วรึ คุณไม่อยากเจอลูกแล้วหรือไง”
ฉูเจ๋อหยางพูดกรอกข้างหูเธอไม่หยุดไม่หย่อน
กระทั่งเป้ยฉ่ายเวยได้ยินชื่อรุ่ยรุ่ย ดวงตาเธอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังเดินอยู่ท่ามกลางสายหมอกและในที่สุดก็มองเห็นเส้นทางเดินขึ้นมา
สายตาฉูเจ๋อหยางเปี่ยมไปด้วยความยินดี เขากุมมือเธอเอาไว้แน่น “ใช่แล้ว คุณรักลูกชายคุณที่สุดเลยไม่ใช่หรอ คุณอยากมอบอนาคตที่ดีให้กับรุ่ยรุ่ยใช่รึเปล่า แค่เรื่องลำบากนิดหน่อยเท่านั้นต้องผ่านมันไปให้ได้ซิ”
สายตาเป้ยฉ่ายเวยค่อยๆได้สติกลับมา แต่ไม่นานนักเรื่องเลวร้ายที่ปรากฏต่อสายตาก็กลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง ตาเธอค่อยๆกลายเป็นร่างแหสีแดงอย่างช้าๆ
“ฉูเจ๋อหยาง…” เธอสะอื้นร้องไห้ที่ข้างหูเขา นั่นทำให้หัวใจเขาอบอุ่นขึ้นมาในทันใด
เขาเอาคนกอดเข้าไปในอก น้ำเสียงเขาไม่เคยอ่อนโยนเท่านี้มาก่อน “คนดี ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัว”
“โอ๊ะ…” เธอเองก็กอดเขาเอาไว้แน่น ร้องไห้ซบลงในอ้อมอกเขา น้ำตาไหลหลั่งออกมาอย่างพรั่งพรู ไม่นานก็เลอะเปรอะเสื้อของเขาหมด สายตาฉูเจ๋อหยางดุดัน มือเขากำปั้น เขาโกรธเกลียดผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อย่างสุดประมาณ ถ้าเขารู้ว่าความคิดสกปรกชั่วช้านี้เป็นของใครแล้วล่ะก็… สภาพจิตใจของเป้ยฉ่ายเวยยังไม่สู้ดีนัก ฉูเจ๋อหยางไม่กล้าพาเธอไปที่คฤหาสน์ กลัวว่ารุ่ยรุ่ยจะเห็นเข้า ก่อนจะกลับคฤหาสน์ ฉูเจ๋อหยางจึงพาเธอไปแวะที่โรงพยาบาลก่อน รถหลายคันขับมาถึง รายล้อมรอบๆไปด้วยชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่อยู่หลายคน พลังบรรยากาศนั้นจากพวกเขาไม่อาจะไม่รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ได้เสี่ยวหย่าและหลี่จื่อเชียนลงมาจากห้องพักคนไข้ ทันได้เห็นชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งพากันขึ้นไปทางด้านบน “นี่มันใครกัน มากันซะเป็นขบวนใหญ่โต” เสี่ยวหย่ามองไปด้วยความสงสัย หลี่จื่อเชียนไม่ได้ให้ความสนใจ แม่ของเขาฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัย เขาได้แต่คิดถึงสภาพจิตใจของเธอ พวกเขาไม่มีใครบอกแม่เรื่องมะเร็งสมอง เขาโทรหาเป้ยฉ่ายเวยตั้งแต่เที่ยง แต่ว่าไม่มีคนรับสายตลอด ไม่รู้ว่ายุ่งหรือว่าเกิดเรื่องอะไรรึเปล่า ว่าแล้วเขาก็ไม่สบายใจ “ผมเรื่องต้องทำไปก่อนล่ะ ถ้าเธอขึ้นไปข้างบนฝากบอกพ่อแม่พี่ด้วยนะ!” หลี่จื่อเชียนพูดอย่างขุ่นเคืองใจ สายตาของเสี่ยวหย่ากลับถูกอีกเรื่องหนึ่งดึงดูดไป
copy right hot novel pub