บทที่463 อุ้มใครอยู่
ฉูเจ๋อหยางคนนี้ ชื่อเสียงไม่ได้หยุดอยู่แค่โลกของทนายความเท่านั้น ก่อนหน้านี้เนื่องด้วยความสัมพันธ์ที่ออกมากับหนานฉิง เลยทำให้เขาเป็นที่รู้จักในหมู่สังคมชนชั้นสูง เสี่ยวหย่าเองก็เคยเห็นเขาในงานเลี้ยงไหนสักงานหนึ่ง
ก่อนนี้แค่อยากรู้ว่าใครกันมากันเป็นขบวนซะใหญ่โต ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นฉูเจ๋อหยาง
แต่วินาทีต่อมา สายตาเธอก็ถูกดึงดูดไปที่คนที่ฉูเจ๋อหยางอุ้มเข้ามา
ผู้หญิงสามเสื้อเบลเซอร์สีดำนั่น แม้ว่าเธอจะไม่ได้เห็นหน้าของหล่อนอย่างชัดเจน แต่ว่าเธอช่างรู้สึกว่าหล่อนดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก
“เธอมองอะไร” หลี่จื่อเชียนเห็นว่าเธอใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงได้มองตาสายตาเธอไป
นั่นมัน...ฉูเจ๋อหยาง
คนที่เขาอุ้มอยู่นั่นคือ---
สีหน้าหลี่จื่อเชียนเปลี่ยนไปในทันที เขาพุ่งตัวไปข้างหน้าหลายก้าว
“พี่จื่อเชียน!” เสี่ยวหย่าตกใจกับการกระทำของเขา จึงดึงแขนของเขาเอาไว้โดยไม่ทันรู้ตัว
หลี่จื่อเชียนสะบัดแขนออกในทันที โดยไม่สนใจว่าเกือบจะทำคนล้มลงไปบนพื้น เขาเดินตรงไปทิศทางที่ฉูเจ๋อหยางเดินไป
เสี่ยวหยาโซเซก่อนจะตั้งหลักได้ เธอหันไปมอง ที่หางตาเธอเห็นฉูเจ๋อหยางอุ้มผู้หญิงคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม จากมุมที่เธอมองทำให้สามารถเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นได้เล็กน้อย
เธอเบิกตาโตในทันใด
เป้ยฉ่ายเวยรึ
หล่อนมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง น่าจะกำลัง…
เสี่ยวหย่าเริ่มจะแขนขาอ่อน เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มหน้าผาก
เป็นไปไม่ได้ ต้องไม่ใช้เป้ยฉ่ายเวยแน่ ตอนนี้หล่อนน่าจะอยู่ในอีกที่หนึ่ง เห็นชัดๆว่าน่าจะหายตัวไปได้แล้ว
ก็รู้ๆอยู่ว่าเป็นผู้หญิงที่ไม่มีเงินไม่มีอำนาจ จะไปรู้จักฉูเจ๋อหยางได้ยังไงล่ะ
ตาฝาดไปแน่ๆ!
เธอคิดมากไปแน่ๆ
เสี่ยวหย่ามองไปอย่างตื่นตระหนก เธอสวดภาวนาไม่ให้เป็นอย่างที่ใจเธอคิด
แต่ดูเหมือนว่าเธอจะต้องผิดหวังเสียแล้ว
สีหน้าหลี่จื่อเชียนถอดสี เขาเดินกึ่งวิ่งไปยังเบื้องหน้าฉูเจ๋อหยาง มาพร้อมกลิ่นอายที่ไม่ค่อยดีนัก
คนรอบตัวฉูเจ๋อหยางขยับตัวพร้อมกัน ขวางไว้ตรงหน้าเขา ไม่ให้เข้าใกล้ประชิดตัวได้
หลี่จื่อเชียนบีบคางเอาไว้ พยายามอดกลั้นความโกรธที่มีอยู่ ดวงตาเขาจับจ้องไปที่หญิงสาวชุดสูทสีดำซึ่งเขาเองก็มองไม่เห็นใบหน้าของเธอ เขาได้แต่ถามเสียงแข็ง “ฉูเจ๋อหยาง คุณอุ้มใครอยู่”
ฉูเจ๋อหยางนัยน์ตาเป็นประกาย เหมือนน้ำหมึกอันดุเดือด แผ่ซ่านไปด้วยความยียวน “ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
“คุณ...เวยเวยเป็นยังไงบ้าง ผมถามว่าเวยเวยเป็นยังไงบ้าง” หลี่จื่อเชียนก้าวไปข้างหน้า วินาทีต่อมาก็ถูกคนสกัดกั้นไว้
คนอื่นอาจจะดูไม่ออก แต่ว่าเขาจะไม่รู้ได้ยังไง คนตรงหน้าไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากเธอเลยแม้แต่น้อย เขาต้องดูออกอย่างแน่นอน
นี่คือเป้ยฉ่ายเวย
หลี่จื่อเชียนใจคอไม่ดี เรื่องที่เขาไม่รู้ยิ่งทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนก ยิ่งทำให้ใจเสีย
“พี่จื่อเชียน พี่เป็นยังไงบ้าง พี่รู้จักทนายฉูด้วยหรอ” เสี่ยวหย่าหน้าซีด เธอเดินไปดึงแขนหลี่จื่อเชียนเอาไว้
แต่สายตาเธอก็ยังเหลือบมองไปยังร่างของเป้ยฉ่ายเวย
ต้องไม่ใช่แน่! ต้องไม่ใช่แน่!
หลี่จื่อเชียนไม่ได้ตอบว่าอะไร เขายังดึงดันจ้องไปที่ฉูเจ๋อหยาง หวังว่าเขาจะได้รับคำตอบ
สายตาของฉูเจ๋อหยางเบนไปที่เสี่ยวหย่า นั่นทำให้เธอถึงกับตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว
“ฉูเจ๋อหยาง บอกผมมา เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเวยเวยกันแน่ คุณเป็นคนทำใช่มั๊ย” ทั้งสองตาของหลี่จื่อเชียนแดงก่ำ
ฉูเจ๋อหยางหันไปมองเขาด้วยสายตาดูถูกก่อนจะหันเดินไปทางลิฟต์ ก่อนนั้นก็ทิ้งคำพูดไว้ให้เขาหนึ่งประโยค “คุณหลี่ คุณหมดโอกาสแล้ว!”
“ฉูเจ๋อหยาง!” หลี่จื่อเชียนเงยหน้ามอง พร้อมกับจะก้าวไปข้างหน้า
คนรอบๆบริเวณนั้นดูแล้วหมัดน่าจะหนักยิ่งกว่าเหล็กเสียอีก เขาจะกล้าเข้าไปได้ยังไง พอเขาพยายามเข้าไปอย่างใจจดใจจ่อ ชายกลุ่มนั้นก็เอาตัวมาขวางเป็นกำแพงไว้
“ปล่อยผม พวกคุณปล่อยผมนะ ฉูเจ๋อหยาง คุณพูดมาให้ชัดๆซิ ฉูเจ๋อหยาง…” ดูเหมือนมีบางอย่างหลุดลอยไปจากร่างกาย สายตาหลี่จื่อเชียนจดจ่อไปที่ลิฟต์ที่กำลังปิดลง ค่อยๆหายไป
ในลิฟต์ ฉูเจ๋อหยางมองคนในอ้อมแขน เสียงสงบนิ่ง ผสานกับความปวดใจอันไม่สามารถมองเห็นได้
“ทำไมไม่พูดอะไรล่ะ” ฉูเจ๋อหยางถาม
เป้ยฉ่ายเวยฟื้นขึ้นมา ตอนนี้อารมณ์ก็ค่อนข้างเสถียรระดับหนึ่งแล้ว
ฉูเจ๋อหยางเปิดเสื้อโค้ทออก และมองไปยังดวงตาอันปิดสนิทของเธอ สีหน้าสลักซับซ้อน
เธอเอ่ยปาก “เหนื่อย”
พอได้ยิน เขาก็ไม่พูดอะไรต่อ
การลักพาตัวครั้งนี้เขาได้ให้คนตรวจสอบแล้ว
เมื่อตอนที่อยู่บนรถ ก็ทราบผลเป็นที่เรียบร้อย
เธอคิดไม่ถึงเลย แต่ก็พอจะเดาออกได้บ้าง
การจัดการของโรงพยาบาลรวดเร็วมาก ยิ่งด้วยฉูเจ๋อหยางเงินหนาไม่น้อย แผลตามร่างกายเป้ยฉ่ายเวยได้รับการดูแลอย่างรวดเร็ว
แต่ว่าฉูเจ๋อหยางตกใจกับอาการก่อนหน้านี้ของเธอ จึงต้องการให้เธอได้พบกับนักจิตวิทยา
เป้ยฉ่ายเวยก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
หลังจากที่ตรวจสอบแล้ว ฉูเจ๋อหยางก็ออกไปพร้อมกับนักจิตวิทยา เป้ยฉ่ายเวยนั่งงุนงงอยู่ในห้อง
พอประตูปิดลง อารมณ์ต่างๆนาๆก็พังทนายลงไม่สามารถปกปิดได้อีกต่อไป เธอร้องไห้โฮออกมา
ในห้องทำงานหมอ ฉูเจ๋อหยางขมวดคิ้วแน่นขณะที่ฟังคำวินิจฉัยจากหมอ
“อารมณ์คุณเป้ยตื่นตระหนกและตกต่ำลงจนถึงขีดสุด นอกจากนั้นก็ยังมีอาการซึมเศร้าแฝงอยู่ด้วย หมอขอแนะนำ ให้แจ้งกับญาติให้รู้ทั่วกัน ช่วยกันทำให้เธอรู้สึกสดชื่นแจ่มใส เพื่อให้เธอลืมเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้”
ฉูเจ๋อหยางสูดหายใจลึก
“ครับ ผมรับทราบแล้ว!”
อาการบาดเจ็บทางกายของเป้ยฉ่ายเวยนั้นไม่รุนแรง มีแค่รอยถลอกและฟกช้ำเล็กน้อย
ทายา สองสามวันก็หาย
อาการที่น่าเป็นห่วงและทำให้เขาปวดหัวจริงๆก็คือ เธอเปลี่ยนไปเป็นเงียบขรึมลงมาก
ดังนั้น หลังจากได้รับคำแนะนำจากแพทย์ ฉูเจ๋อหยางกลับบ้านปุ๊บก็รีบพารุ่ยรุ่ยมา “แม่” รุ่ยรุ่ยรีบวิ่งเข้ามากอดเหมือนกับหอยตัวน้อยๆ ไม่ได้เจอแม่หลายวันแล้ว เขาตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว นัยน์ตาเป้ยฉ่ายเวยสั่นไหว เธอต้องการจะอุ้มคนมากอดไว้ในอ้อมอก มือข้างหนึ่งพยุงร่างของเธอไว้ เป้ยฉ่ายเวยเงยหน้าขึ้นมอง จึงเห็นฉูเจ๋อหยางขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ “ร่างกายคุณยังได้รับบาดเจ็บอยู่!” เป้ยฉ่ายเวยยิ้มแห้งๆและไม่ได้พูดอะไร อย่างไรก็ตามเธอก็เชื่อฟังเขาไม่ได้อุ้มรุ่ยรุ่ยขึ้นมา รุ่ยรุ่ยไม่ค่อยพอใจ เขากอดขาเป้ยฉ่ายเวยเอาไว้ ตาสีเข้มจ้องเขม็งไปที่ฉูเจ๋อหยางเป็นการร้องเรียนต่อเป้ยฉ่ายเวย “แม่ครับ พ่อไม่ยอมให้ผมไปหาแม่ ผมคิดถึงแม่ที่สุดเลย”เป้ยฉ่ายเวยเลิกคิ้วให้ฉูเจ๋อหยาง “คุณไม่ยอมให้รุ่ยรุ่ยไปหาฉันเรอะ” ฉูเจ๋อหยางจ้องเป้ยฉ่ายเวยอย่างเอื่อยเฉื่อยก่อนที่จะหันไปจ้องรุ่ยรุ่ย มือใหญ่พุ่งไปหมุนหัวเขาไปรอบๆ “เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมหัดโกหก” รุ่ยรุ่ยแกะมือใหญ่ออก เขากอดเป้ยฉ่ายเวย “แม่ดูสิครับ พ่อแกล้งผม” ฉูเจ๋อหยางจิ้มหน้าผาก “ถ้าไม่อยากอยู่แล้วก็กลับบ้านไปก็ได้” รุ่ยรุ่ยกอดแขนเป้ยฉ่ายเวยแน่น เขาออกแรงแสดงให้เห็นว่าไม่ต้องการกลับบ้านไป เป้ยฉ่ายเวยส่ายหัวยอมแพ้ เธอโน้มตัวลงจุ๊บเขาบนหน้าผาก “รุ่ยรุ่ยไม่ต้องกลัว พ่อไม่ให้รุ่ยรุ่ยกลับบ้านไปหรอก ลูกอยู่เป็นเพื่อนแม่ที่นี่นะ” ฉูเจ๋อหยางเลิกคิ้ว เหลือบมองเธออยู่ครู่หนึ่ง
copy right hot novel pub